T-Hybrid ใหม่: ขุมพลังไฮบริดน้ำหนักเบา ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี ปอร์เช่ 911 GTS T-Hybrid และ 911 Carrera ใหม่ สัมผัสสมรรถนะเร้าใจทุกโค้ง บนเส้นทางสุดท้าทายกลางธรรมชาติที่เชียงใหม่
- 911 Carrera GTS ใหม่” เปิดตัวพร้อมขุมพลัง T-Hybrid สุดล้ำ น้ำหนักเบา มาพร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6 สูบ ความจุ 3.6 ลิตร พัฒนาใหม่ทั้งระบบ เสริมพลังด้วยเทอร์โบไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ในทุกมิติ
- 911 Carrera ใหม่: เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6 สูบ 3.0 ลิตร ฉบับปรับปรุงใหม่
- ดีไซน์โดดเด่น พร้อมระบบแอโรไดนามิกแบบแอคทีฟ
- ห้องโดยสารมาพร้อมจอแสดงผลดิจิทัลเต็มรูปแบบ เสริมด้วยระบบการเชื่อมต่อที่ครบครัน ตอบโจทย์การใช้งานยุคดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก จัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะ เชิญสื่อมวลชนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่สุดเร้าใจ ณ จังหวัดเชียงใหม่
ปอร์เช่ (Porsche) พลิกโฉมรถสปอร์ตระดับตำนาน 911 ครั้งใหญ่ ด้วยขุมพลังไฮบริดสมรรถนะสูง น้ำหนักเบาเป็นพิเศษ โดยระบบขับเคลื่อนใหม่ล่าสุดผสานเทอร์โบไฟฟ้าเข้ากับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6 สูบนอนรุ่นใหม่ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและทรงพลังยิ่งขึ้น
ปอร์เช่ เอเชีย แปซิฟิก (Porsche Asia Pacific) จัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะ 911 GTS T-Hybrid และ 911 Carrera ใหม่ เชิญสื่อมวลชนและ KOL จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ขับขี่บนเส้นทางภูเขาสุดท้าทายในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อถ่ายทอดความโดดเด่นของขุมพลังและการควบคุมที่เหนือชั้น
นายไมเคิล เวตเตอร์ (Michael Vetter)กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทยกล่าวว่า “เส้นทางบนภูเขาในจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการทดสอบสมรรถนะของ 911 GTS T-Hybrid และ 911 Carrera โดยเราพัฒนาระบบไฮบริดที่เหมาะสมอย่างแท้จริงกับ 911 พร้อมนำเสนอแนวคิดการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งช่วยยกระดับสมรรถนะโดยรวมได้อย่างชัดเจน และในฐานะก้าวสำคัญของวิวัฒนาการ 911 รุ่นใหม่นี้ยังคงมอบทั้งสมรรถนะที่เหนือกว่า ประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และถ่ายทอดจิตวิญญาณความเร้าใจในแบบฉบับปอร์เช่ไว้อย่างครบถ้วน สำหรับลูกค้าในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม ความยั่งยืน และความพิเศษ 911 GTS T-Hybrid คือคำตอบที่ลงตัว”
แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง ปอร์เช่เผยโฉมระบบไฮบริดสมรรถนะสูงสุดล้ำ
สำหรับ 911 Carrera GTSรุ่นใหม่ วิศวกรของปอร์เช่ได้นำองค์ความรู้จากสนามแข่งมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบ T-Hybridรุ่นล่าสุด ซึ่งโดดเด่นด้วยน้ำหนักเบาและสมรรถนะอันทรงพลัง โดยติดตั้งเทอร์โบชาร์จไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ระหว่างใบพัดอัดอากาศ (compressor)และกังหันไอเสีย (turbine wheel)ช่วยเร่งการทำงานของเทอร์โบทันทีและสร้างแรงดันอากาศ (boost pressure)ได้แบบฉับไว นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าในเทอร์โบชาร์จยังทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 11กิโลวัตต์ (15 แรงม้า) จากพลังงานความร้อนของไอเสีย ระบบเทอร์โบชาร์จแบบไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้เวสต์เกต (wastegate-free) นี้ ยังช่วยให้สามารถใช้เทอร์โบเพียงตัวเดียว แทนที่การใช้สองตัวในรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้การตอบสนองของเครื่องยนต์รวดเร็วและเร้าใจยิ่งขึ้น
ระบบขับเคลื่อนยังประกอบด้วยมอเตอร์ซิงโครนัสแบบแม่เหล็กถาวร ซึ่งติดตั้งรวมไว้ภายในเกียร์คลัตช์คู่ 8 จังหวะ (PDK)รุ่นใหม่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้านี้สามารถให้แรงบิดเสริมสูงสุดถึง 150 นิวตันเมตร แม้ในขณะรอบเดินเบา และเพิ่มกำลังได้สูงสุดถึง 40กิโลวัตต์ปอร์เช่ (Porsche) เชื่อมต่อมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสองตัวเข้ากับแบตเตอรี่แรงดันสูงที่มีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด โดยแบตเตอรี่นี้มีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงกับแบตเตอรี่สตาร์ท 12 โวลต์แบบทั่วไป แต่สามารถกักเก็บพลังงานได้สูงสุดถึง 1.9กิโลวัตต์ชั่วโมง (ค่ารวม) และทำงานที่แรงดันไฟฟ้า 400โวลต์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพน้ำหนักโดยรวมที่ดีที่สุด ปอร์เช่ (Porsche) จึงเลือกใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนน้ำหนักเบาสำหรับระบบไฟฟ้า 12โวลต์ภายในรถอีกด้วย
หัวใจของระบบขับเคลื่อน T-Hybridคือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6สูบ ขนาด 3.6ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ระบบไฟฟ้าแรงสูงช่วยให้คอมเพรสเซอร์แอร์สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องใช้สายพาน ส่งผลให้มีพื้นที่ในห้องเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นจากชุดสายพานที่หายไป ทำให้เครื่องยนต์มีขนาดกะทัดรัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือเครื่องยนต์สำหรับติดตั้งตัวแปลงกระแส (pulse inverter)และตัวแปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC-DC converter)
แม้ไม่ใช้พลังงานไฟฟ้า เครื่องยนต์นี้ก็ให้กำลังสูงถึง 357 กิโลวัตต์ (485 แรงม้า) และแรงบิด 570นิวตันเมตร เมื่อรวมกับระบบไฮบริด กำลังรวมของระบบจะเพิ่มเป็น 398 กิโลวัตต์ (541 แรงม้า) และแรงบิด 610 นิวตันเมตร ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 45 กิโลวัตต์ (61 แรงม้า)
ระบบไฮบริดสมรรถนะสูงนี้ให้การขับขี่ที่เร้าใจและคล่องตัว พร้อมช่วยลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรถปลั๊กอินไฮบริดทั่วไป น้ำหนักเพิ่มจากรุ่นก่อนหน้าเพียง 50 กิโลกรัมเท่านั้น
911 Carreraยังคงใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6สูบ ขนาด 3.0ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบคู่ โดยเครื่องยนต์นี้ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างครอบคลุม หนึ่งในจุดเด่นคือการนำอินเตอร์คูลเลอร์จากรุ่น Turboมาใช้ ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้ช่องระบายอากาศที่ฝากระโปรงท้ายเหนือเครื่องยนต์ ขณะที่เทอร์โบชาร์จใน 911 Carreraรุ่นใหม่นี้ เคยเป็นอุปกรณ์เฉพาะในรุ่น GTSของเจเนอเรชันก่อนหน้า
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยให้ปอร์เช่ (Porsche)สามารถลดการปล่อยไอเสียลงพร้อมเพิ่มสมรรถนะ โดยให้กำลังสูงสุด 290กิโลวัตต์ (394แรงม้า) และแรงบิดสูงสุด 450นิวตันเมตร 911 Carrera Coupéใหม่สามารถเร่งจาก 0–100กม./ชม. ได้ในเวลา 4.1วินาที (3.9วินาทีเมื่อมาพร้อมชุด Sport Chrono)และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 294 กม./ชม. ซึ่งเร็วกว่าเดิม 0.1วินาที และเพิ่มความเร็วสูงสุดอีก 1กม./ชม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ช่วงล่างและแอโรไดนามิกส์แบบแอคทีฟที่ได้รับการปรับแต่ง
ระบบช่วงล่างของ 911 Carrera GTSได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างครอบคลุม โดยในรุ่นนี้เป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบเลี้ยวล้อหลัง (rear-axle steering)มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ที่ความเร็วสูง และลดรัศมีวงเลี้ยวให้แคบลงปอร์เช่ (Porsche) ยังได้รวมระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้งPorsche Dynamic Chassis Control (PDCC)เข้ากับระบบไฟฟ้าแรงสูงของระบบไฮบริดสมรรถนะสูง ทำให้สามารถใช้ระบบควบคุมแบบอิเล็กโทร-ไฮดรอลิก ซึ่งช่วยให้การตอบสนองมีความยืดหยุ่นและแม่นยำยิ่งขึ้นช่วงล่างแบบสปอร์ตที่มาพร้อมระบบควบคุมโช้คอัพแบบปรับระดับได้ (PASM)และความสูงจากพื้นลดลง 10มิลลิเมตร ช่วยมอบฟีลลิ่งการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น GTSอย่างแท้จริง
สำหรับ 911รุ่นใหม่ มีดีไซน์ล้อให้เลือกทั้งหมด 7แบบ โดยมีขนาดให้เลือกเป็นแบบ 19/20นิ้ว หรือ 20/21นิ้ว ในรุ่น 911 Carrera GTSจะมาพร้อมล้อหลังขนาด 21นิ้ว ความกว้าง 11.5นิ้ว สวมยางขนาด 315/30 ZR 21เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนล้อหน้าใช้ขนาด 20นิ้ว ความกว้าง 8.5นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/35 ZR 20ร่องยางด้านหลังที่กว้างขึ้นนี้ช่วยเสริมประสิทธิภาพด้านไดนามิกการขับขี่และการยึดเกาะถนนของ 911 Carrera GTSใหม่ ได้อย่างยอดเยี่ยม
ดีไซน์ภายนอกสปอร์ตและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
ปอร์เช่ (Porsche)ปรับดีไซน์ภายนอกของ 911ใหม่ให้โฉบเฉี่ยวและลู่ลมยิ่งขึ้น ด้วยการอัปเกรดเส้นสายอย่างตรงจุด มุ่งเน้นการยกระดับประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์และสมรรถนะโดยรวมของตัวรถ โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือกันชนหน้าและหลังดีไซน์ใหม่เฉพาะแต่ละรุ่น ซึ่งไม่เพียงเสริมภาพลักษณ์ความสปอร์ตและความทันสมัย แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมทิศทางลมและช่วยระบายความร้อนของระบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นครั้งแรกที่ ปอร์เช่ (Porsche)ที่ได้รวมฟังก์ชันไฟทั้งหมดไว้ในไฟหน้า Matrix LEDซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน 911รุ่นใหม่ โดยออกแบบให้มีกราฟิกสี่จุดอันเป็นเอกลักษณ์ ช่วยให้สามารถตัดไฟDaylightแบบดั้งเดิมออกไป และเปิดพื้นที่บริเวณกันชนหน้าเพื่อรองรับช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ในรุ่น 911 Carrera GTSใหม่ ปอร์เช่ติดตั้งช่องระบายอากาศด้านหน้าแบบแอคทีฟจำนวนห้าชิ้นในแนวตั้ง ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก เสริมด้วยช่องระบายอากาศซ่อนสำหรับควบคุมการปิดเปิดของช่องบายพาสทั้งสองด้าน นับเป็นครั้งแรกในรถยนต์ 911ที่มีการติดตั้งดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้าแบบแอคทีฟใต้ท้องรถ ซึ่งทำงานร่วมกับระบบระบายอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์ได้อย่างเหนือชั้น
ระบบระบายอากาศดังกล่าวจะควบคุมทิศทางการไหลของอากาศให้เหมาะสมตามสถานการณ์การขับขี่ โดยในช่วงที่ไม่ต้องการใช้กำลังมาก ช่องระบายอากาศจะปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านแอโรไดนามิกส์ ขณะที่ในสถานการณ์ที่ต้องการกำลังสูง เช่น การขับบนสนามแข่ง ระบบจะเปิดช่องระบายอากาศเพื่อส่งลมจำนวนมากเข้าสู่หม้อน้ำเพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์ระบบช่วยเหลือต่าง ๆ ไว้อย่างกลมกลืนใต้แผ่นป้ายทะเบียนหน้า
นอกจากนี้ ปอร์เช่ (Porsche)ยังมีตัวเลือกไฟหน้าแบบ HD Matrix LEDที่มีความละเอียดมากกว่า 32,000Pixel ไฟสูงประสิทธิภาพสูงนี้สามารถส่องสว่างถนนได้ไกลกว่า 600เมตร และมาพร้อมฟังก์ชันเสริมล้ำสมัย เช่น ไฟเลี้ยวแบบไดนามิกตามโหมดการขับขี่ ไฟส่องสว่างช่องทางเดินรถ ไฟสำหรับพื้นที่ก่อสร้างและจุดแคบ รวมถึงไฟสูงที่ไม่ทำให้รถคันอื่นตาพร่า ที่มีความแม่นยำระดับพิกเซล
ด้านท้ายของ911ใหม่โดดเด่นด้วยแถบไฟท้ายดีไซน์ใหม่ทรงโค้ง (arc)พร้อมโลโก้ ‘PORSCHE’ที่ช่วยเสริมมิติความกว้างและความลึกให้ตัวรถอย่างชัดเจน กระจังหลังออกแบบใหม่ด้วยครีบแนวตั้งห้าชิ้นต่อด้าน เชื่อมต่อกับกระจกหลังอย่างกลมกลืน ไล่สายตาลงสู่สปอยเลอร์แบบพับเก็บได้ด้านล่าง โดยตำแหน่งป้ายทะเบียนถูกยกให้สูงขึ้นเพื่อเน้นความชัดเจนของกันชนหลังซึ่งมาในดีไซน์ใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ท่อไอเสียแบบเฉพาะรุ่นได้รับการออกแบบให้ผสานเข้ากับครีบดิฟฟิวเซอร์อย่างลงตัว โดยรุ่น 911 Carreraจะมีระบบท่อไอเสียสปอร์ตให้เลือกเป็นออปชัน ขณะที่รุ่น 911 Carrera GTSติดตั้งระบบท่อไอเสียสปอร์ตเฉพาะรุ่น GTSเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ห้องโดยสารดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมการเชื่อมต่อที่ทันสมัย
ในรุ่นตัวถังคูเป้ (Coupé) ปอร์เช่ (Porsche)ได้ออกแบบห้องโดยสารของ 911 ใหม่ให้เป็นแบบสองที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยสามารถเลือกแบบที่นั่ง 2+2 ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ภายในห้องโดยสารปอร์เช่ (Porsche) ผสานเอกลักษณ์การออกแบบอันเป็นดีเอ็นเอของ 911เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้แนวคิด Porsche Driver Experienceซึ่งจะเน้นให้ผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง และสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติองค์ประกอบควบคุมที่สำคัญต่างๆ ถูกจัดวางไว้บนหรือรอบๆ พวงมาลัยโดยตรง ซึ่งรวมถึงสวิตช์เลือกโหมดการขับขี่ (Driving Mode Switch)ที่ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คันควบคุมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ และที่เป็นครั้งแรกใน 911 ที่ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ที่อยู่ทางด้านซ้ายของพวงมาลัย
ในช่องเก็บของบริเวณคอนโซลกลางของ 911รุ่นใหม่ มีช่องเก็บสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมระบบระบายความร้อน และฟังก์ชันชาร์จแบบไร้สาย (Inductive Charging)
และเป็นครั้งแรกของ911ที่มีการติดตั้งชุดหน้าปัดแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยจอแสดงผลแบบโค้งขนาด 12.6นิ้วนี้ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับการแสดงผลรูปแบบใหม่อย่างลงตัว และสามารถปรับแต่งการแสดงผลได้หลากหลายตามต้องการ โดยมีให้เลือกมากถึง 7รูปแบบ รวมถึงโหมด Classic สุดพิเศษที่ได้แรงบันดาลใจจากหน้าปัดทรงห้าหลอดอันเป็นเอกลักษณ์ของปอร์เช่ (Porsche)
ระบบ Porsche Communication Management (PCM)ยังคงควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 10.9นิ้วที่บริเวณกึ่งกลางคอนโซล อีกทั้งในรุ่นใหม่นี้ยังได้รับการปรับปรุงให้ผู้ขับสามารถปรับตั้งโหมดการขับขี่ และใช้งานระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้อย่างง่ายดายและยืดหยุ่นมากขึ้น
นอกจากนี้ Apple CarPlay®ยังผสานเข้ากับตัวรถได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยสามารถแสดงข้อมูลผ่านหน้าปัดดิจิทัล และควบคุมฟังก์ชันบางอย่างของรถได้โดยตรงภายในระบบ Apple® เช่น การสั่งงานผ่านผู้ช่วยเสียง Siri®
สื่อมวลชนทั่วอาเซียน ร่วมการทดสอบขับปอร์เช่ 911 GTS และ 911 Carrera โฉมใหม่ ที่จังหวัดเชียงใหม่
กิจกรรมทดสอบสมรรถนะ 911 GTS T-Hybridและ 911Carrera ใหม่ ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ โดยมีสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์จากทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม พร้อมงานแถลงข่าวเปิดตัวในบรรยากาศสบาย ๆ ท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมภาคเหนือ ทั้งสองรุ่นถูกนำเสนอในฐานะรถสปอร์ตที่รวมสมรรถนะอันทรงพลังเข้ากับความแม่นยำในการควบคุมได้อย่างลงตัว ก่อนจะเข้าสู่ช่วงทดลองขับบนเส้นทางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อทดสอบขีดความสามารถของรถอย่างแท้จริง
ทันทีที่ขบวนรถออกจากตัวเมือง เครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกัน มุ่งหน้าสู่เส้นทางชนบทและเส้นทางขึ้นภูเขาไปยังสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เส้นทางทดสอบผสมผสานทั้งทางตรง วิวธรรมชาติ และโค้งท้าทาย เปิดโอกาสให้ผู้ขับได้สัมผัสสมรรถนะด้านการควบคุมและการยึดเกาะถนนของรถสปอร์ตทั้งสองรุ่นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
จากนั้น ขบวนรถมุ่งหน้าสู่จันตราคีรี รีสอร์ทหรูบนยอดเขาเหนือระดับเมฆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของธรรมชาติ โดยผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสช่วงเวลาผ่อนคลายพร้อมมื้อกลางวันสุดพิเศษ ก่อนออกเดินทางต่อสู่จังหวัดลำพูน ปลายทางสุดคลาสสิกที่อบอวลด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรม แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบวัดเก่าแก่สีอิฐที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางสวนเมืองลำพูน เป็นบทสรุปของเส้นทางการขับขี่ที่ผสานความเร้าใจเข้ากับความงดงามได้อย่างกลมกลืน
ปอร์เช่ 911ทั้งสองรุ่นที่ได้รับการอัปเดตครั้งสำคัญนี้ ไม่เพียงสะท้อนความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะเยี่ยม แต่ยังพิสูจน์บทบาทของยนตรกรรมคู่ใจสำหรับการเดินทางบนเส้นทางที่ทั้งงดงามและท้าทายที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
พร้อมเปิดจองแล้วในประเทศไทย
911 Carrera รุ่นใหม่สามารถสั่งซื้อได้แล้ววันนี้ในตัวถังแบบคูเป้ และคาบริโอเลต สำหรับ 911 Carrera GTS มีตัวเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และตัวถังแบบทาร์กา (Targa) ซึ่งมีให้เฉพาะในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ทั้งสองรุ่นมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ Porsche Doppelkupplung (PDK) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยปอร์เช่ ประเทศไทย เปิดราคาจำหน่าย
- 911 Carrera รุ่นใหม่ ตัวถังคูเป้ เริ่มต้นที่ราคา 12.69 ล้านบาท
- 911 Carrera GTS คูเป้ เริ่มต้นที่ราคา 17.79 ล้านบาท