บ๊อช ฝ่าวิกฤตโคโรน่าไวรัส โชว์ผลประกอบการในแดนบวก พร้อมประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอนได้ตามเป้าก้าวหน้ากว่าแผนที่วางไว้ในปี 2563
สำหรับปีงบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา กลุ่มบ๊อช แสดงผลประกอบการเป็นบวกได้ แม้จะประสบกับวิกฤตไวรัสโคโรน่าและการถดถอยของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ในฐานะผู้ผลิตเทคโนโลยีและบริการรายใหญ่ บริษัทฯ ทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตัวเลขผลประกอบการเบื้องต้น[1] แสดงให้เห็นว่า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) คิดเป็นมูลค่า 1.9 พันล้านยูโร อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีจึงเท่ากับประมาณร้อยละ 2.5 และหลังจากปรับโครงสร้างค่าใช้จ่าย กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีจะเท่ากับประมาณ 3.3 พันล้านยูโร หรือมีอัตรากำไรร้อยละ 4.5
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
จำนวนพนักงานในปี 2563 แสดงถึงการจ้างงานที่มั่นคง
กลุ่มบริษัทบ๊อชมีการจ้างงานประมาณ 394,500 คนทั่วโลก จากข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 แสดงให้เห็นว่า บ๊อชสามารถรักษาระดับการจ้างงานส่วนใหญ่เอาไว้ได้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงในตลาดจีนและเยอรมนีเป็นส่วนใหญ่ บ๊อชมีพนักงานด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อรองรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์หลักที่วางไว้
คาดการณ์ภาพรวมในปี 2564 วางเป้าฟื้นธุรกิจอย่างแข็งแกร่งหลังผ่านพ้นวิกฤต
บ๊อชคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2564 หลังจากที่หดตัวไปประมาณร้อยละ 4.5 ในปีที่แล้ว บ๊อชคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้เกือบร้อยละ 4 ในปีนี้ “วิกฤตยังไม่สิ้นสุด” ศ.อเซนเคียชเบาเมอร์กล่าว ด้วยเห็นว่าไม่เพียงแต่อัตราการติดเชื้อยังสูงอยู่ต่อเนื่อง แต่ยังมีข้อจำกัดทางสังคมและเศรษฐกิจอีกที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า ประเด็นทางการเมืองเรื่อง Brexit และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ก็ยังดำเนินต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะมีการสร้างข้อจำกัดทางการค้าที่จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอีกด้วย
“แม้ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัจจัยท้าทายต่างๆ แต่เป้าหมายของบ๊อชก็ยังคงมุ่งสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้มากกว่าตลาดในทุกกลุ่มธุรกิจ และในภูมิภาคต่างๆ ที่มีความสำคัญสำหรับเรา” ทั้งนี้ ไม่ว่าการแพร่ระบาดของโรคจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ก็ตาม แต่บ๊อชก็ยังคงปรับตัวต่อเนื่องเพื่อให้สอดรับกับโครงสร้างที่เปลี่ยนไป และจะทำให้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายในสังคม “ความพยายามของเราในการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ส่งผลให้สถานะทางการเงินของเราแข็งแกร่ง และสามารถขยายไปสู่ตลาดและธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล”