‘นิว โกสต์’ จากโรลส์-รอยซ์ สมบูรณ์แบบในความเรียบง่าย

“ยนตรกรรม ‘กู๊ดวูด โกสต์’ รุ่นแรก คือ การตอบสนองความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ของแบรนด์ ทั้งด้านอายุและทัศนคติ หญิงชายเหล่านี้ปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของโรลส์-รอยซ์ที่มีขนาดกะทัดรัดและเรียบง่ายขึ้น ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่เราได้รังสรรค์เพื่อลูกค้าชิ้นนี้ ได้ทำให้ความมุ่งหวังที่ทะเยอทะยานที่สุดของเราเป็นจริง ตลอดระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อปี 2552 ‘โกสต์’ ได้กลายเป็นยนตรกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 116 ปีของแบรนด์

เพื่อที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะสามารถสะท้อนตัวตนของลูกค้าของเราไปอีก 10 ปีหลังจากนี้ เราต้องฟังความต้องการและความปรารถนาของพวกเขาอย่างตั้งใจ และในวันนี้เราได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางโดยการพัฒนายนตรกรรมรุ่นใหม่เพื่อกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างของโรลส์-รอยซ์ ผู้นำธุรกิจและผู้ประกอบการเหล่านี้แสวงหาความหมายใหม่จาก ‘โกสต์’ มากกว่าที่เคย พวกเขาต้องการยนตรกรรมแนวใหม่ที่มีความหรูหราสูงสุด ทรงพลัง แต่สบาย สงบเงียบ และเรียบง่าย ซึ่ง ‘โกสต์’ คือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นี้

องค์ประกอบจากยนตรกรรม ‘กู๊ดวูด โกสต์’ รุ่นแรกที่ยังคงไว้ มีเพียงแค่ สัญลักษณ์ สปิริต ออฟ เอ็กสตาซี และร่ม ที่เหลือคือสิ่งที่เราออกแบบ ประดิษฐ์ และพัฒนาเชิงวิศวกรรมขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้คือยนตรกรรมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงสุดของโรลส์-รอยซ์ เป็นการกลั่นเอาเนื้อหาอันเป็นเสาหลักของแบรนด์ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่งดงาม เรียบง่าย แต่มีความซับซ้อนสูง สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและยุคสมัยอย่างสมบูรณ์แบบ”

ทอร์สตัน มูเลอร์-ออทเวิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส

เมื่อปี 2552 โรลส์-รอยซ์ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยนตรกรรมแฟนธอมรุ่นเรือธง ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับความสนใจจากลูกค้าที่ชื่นชอบการแสวงหาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดยั้งด้านการออกแบบ วิศวกรรม และงานศิลป์ของแบรนด์ แต่ต้องการการแสดงออกที่ถ่อมตัวและเรียบง่ายมากขึ้นจากโรลส์-รอยซ์ การรังสรรค์ ‘กู๊ดวูด โกสต์’ คันแรก และการทุ่มเทพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด นำไปสู่ความสำเร็จที่ฉุดไม่อยู่ และตลอดระยะเวลา 10 ปี ยนตรกรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงรุ่นนี้ก็ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 116 ปีของบริษัท ความสำเร็จอันน่าเกรงขามของโกสต์มีส่วนสำคัญในการทำให้แบรนด์สามารถขยายการผลิต และลงทุนในการเสริมสร้างขีดความสามารถ และผลักดันให้โรลส์-รอยซ์เป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างแท้จริงในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ระยะเวลา 1 ทศวรรษที่โกสต์โลดแล่นอยู่ในตลาดยังทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองแห่งความหรูหราของแบรนด์ สามารถรวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ยนตรกรรมของลูกค้าโกสต์ที่เปลี่ยนแปลงไป วิธีการที่พวกเขาว่าจ้างผลิตยนตรกรรม และการรับรู้ของพวกเขาที่มีต่อแบรนด์ ผู้ประกอบการและผู้ก่อตั้งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีความหลากหลายเหล่านี้ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเฉลิมฉลองความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา พวกเขามีชีวิตที่ไร้พรมแดน ได้รับการศึกษาในต่างประเทศ เดินทางไปในหลายที่ และได้สัมผัสกับโรลส์-รอยซ์ในบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลาย

บุคลิกที่กระฉับกระเฉงและมีพลังของโกสต์ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ตระหนักว่าโรลส์-รอยซ์สามารถมอบประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การนั่งรถโดยมีพนักงานขับ และในความเป็นจริง ลูกค้าของแบรนด์ในสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปต่างก็นิยมการขับโกสต์ด้วยตนเองตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกัน ลูกค้าในทวีปเอเชียก็ชื่นชอบการใช้งานเทคโนโลยีในห้องโดยสารอย่างมาก ไม่ว่าจะเพื่อธุรกิจหรือเพื่อความบันเทิง

ในทุกพื้นที่ที่เราได้ทำการตลาด ลูกค้าที่สั่งผลิตโกสต์จะถามตัวแทนของแบรนด์เกี่ยวกับประสบการณ์การขับขี่ รวมถึงลูกค้าที่เลือกรุ่นฐานล้อยาวด้วย ในช่วงสุดสัปดาห์ ยานยนต์ซึ่งเป็นเครื่องมือทางธุรกิจนี้ได้กลายร่างอย่างแยบยลเป็นยานพาหนะแห่งการเฉลิมฉลอง ลูกค้าจะเปลี่ยนไปครองที่นั่งของผู้ขับ และเพลิดเพลินกับการเดินทางไปยังร้านอาหาร หรือบ้านหลังที่สองกับเพื่อนและครอบครัวของพวกเขา

พวกเขาสนุกสนานกับบุคลิกอันหลากหลายของยนตรกรรม ซึ่งสะท้อนผ่านการใช้สีที่เป็นทางการน้อยลงและการปรับแต่งให้เป็นส่วนตัวมากขึ้นในสายตาของผู้ขับขี่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่แบรนด์ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจากลูกค้า

ในขณะเดียวกันที่กู๊ดวูด ความก้าวหน้าครั้งสำคัญกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น สถาปัตยกรรมอลูมิเนียมสเปซเฟรมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของแบรนด์ได้ถูกนำมาใช้กับยนตรกรรมแฟนธอมเป็นรุ่นแรก และตามมาด้วยยนตรกรรมคัลลิแนน สเปซเฟรมนี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโรลส์-รอยซ์ ที่ช่วยให้นักออกแบบและวิศวกรของแบรนด์สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับซูเปอร์ลักชัวรีได้อย่างแท้จริง โดยปราศจากข้อจำกัดที่มักพบในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่สร้างมาสำหรับยานพาหนะที่ผลิตเป็นปริมาณมาก (high-volume) และเนื่องจากลูกค้าโกสต์มีความคาดหวังกับยนตรกรรมของพวกเขามากขึ้น โรลส์-รอยซ์จึงใช้สถาปัตยกรรมนี้มาเป็นตัวตอบโจทย์ โดยผสมผสานเทคโนโลยี เช่น ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ (all-wheel drive) และระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ (all-wheel steering) เข้ามาไว้ในโกสต์ เพื่อปลดล็อกบุคลิกใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์นี้

ในขณะเดียวกัน ทีมออกแบบก็เฝ้าติดตามแนวคิดด้านสุทรียศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแนวทางด้านความงามของโกสต์ แนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนทัศนคติที่เปลี่ยนไปของลูกค้าโกสต์ในการแสดงออกถึงความสำเร็จ เราตั้งชื่อกันภายในให้แนวคิดนี้ว่า “โพสต์ ออปพิวเลนซ์” (Post Opulence) จุดเด่นคือการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นและการเน้นสาระสำคัญ การที่จะตอบโจทย์นี้ได้ เราต้องเลือกใช้วัสดุที่ดีที่สุดและทำให้มันโดดเด่น การออกแบบจะต้องทำอย่างพองาม ชาญฉลาด และไม่จัดจ้าน ปรัชญานี้เป็นขั้วตรงข้ามของแนวคิด “Premium Mediocracy” ซึ่งเป็นคำที่บัญญัติโดยผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นอย่างฉาบฉวยผิวเผิน เช่น การติดป้ายยี่ห้อขนาดใหญ่ หรือในบริบทของยานยนต์ ก็คือการตกแต่งด้วยฝีเย็บที่ดูวุ่นวาย และอุปกรณ์อื่นๆ ที่สร้างภาพลวงตาของความหรูหรา แต่งองค์ทรงเครื่องผลิตภัณฑ์ที่กลวงเปล่าด้วยเปลือกระดับพรีเมียม

ท้ายที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ‘นิว โกสต์’ ซึ่งเป็นยนตรกรรมที่ได้รับการปรับแต่งอย่างเชี่ยวชาญให้เหมาะกับลูกค้า มีความสมบูรณ์แบบในความเรียบง่าย ซึ่งมีพื้นฐานมาจากวัสดุที่เยี่ยมยอด น้อยกว่าแต่ดีกว่า




วิศวกรรม
สถาปัตยกรรมอลูมิเนียมสเปซเฟรม

นักออกแบบ วิศวกร และช่างศิลป์ของแบรนด์ต้องการอิสระในการสร้างบุคลิกเฉพาะตัวสำหรับ ‘นิว โกสต์’ ชายและหญิงเหล่านี้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ระดับซูเปอร์ลักชัวรีที่แท้จริงได้เนื่องจากพวกเขาไม่ถูกพันธนาการโดยข้อจำกัดของแพลตฟอร์มที่ใช้ในยานพาหนะที่ผลิตออกมาเป็นปริมาณมาก แต่สมรรถนะต่ำกว่า นี่จึงเป็นที่มาของสถาปัตยกรรมอลูมิเนียมสเปซเฟรมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโรลส์-รอยซ์

ก่อนหน้านี้ สถาปัตยกรรมเฉพาะของโรลส์-รอยซ์นี้ได้ถูกนำไปใช้กับยนตรกรรมแฟนธอมรุ่นเรือธงของแบรนด์ และคัลลิแนนซึ่งเป็นเหมือนการปฏิวัติของเอสยูวีมาแล้ว ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาดของสเปซเฟรมทำให้แบรนด์สามารถตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียศาสตร์และจักรกลที่ไม่เหมือนใครของ ‘นิว โกสต์’ ได้อย่างเสรี และทำให้เกิดอีกตัวเลือกหนึ่งของยนตรกรรมที่มีความเหนือกว่าทางเสียง มีความแข็งแกร่ง และไดนามิกสูง เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของโรลส์-รอยซ์

สิ่งที่เป็นรากฐานให้แก่สถาปัตยกรรมโรลส์-รอยซ์ คือพื้นที่บริเวณมุมทั้ง 4 ของตัวรถ กล่าวคือ ฝากั้นเครื่องยนต์อลูมิเนียมที่เคลื่อนย้ายได้ พื้นห้องโดยสาร คานขวางตัวรถ และแผงธรณีประตู ซึ่งได้รับการจัดวางอย่างเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่า ‘นิว โกสต์’ จะสามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าในฐานะยนตรกรรมที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเลือกขับเองหรือเป็นผู้โดยสาร สำหรับช่วงล่าง ชุดกันกระแทก 2 ชุดถูกเลื่อนออกไปอยู่ที่ด้านหน้าสุดของ ‘นิว โกสต์’ ทำให้เครื่องยนต์ V12 สูบ 6.75 ลิตร ตั้งอยู่หลังเพลาหน้าพอดี เพื่อให้ได้การกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุดแบบ 50/50

เพื่อให้สามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่รบกวนการออกแบบภายในของ ‘นิว โกสต์’ ความยาวโดยรวมของตัวรถจึงเพิ่มขึ้นอีก 89 มม. เมื่อเทียบกับ ‘กู๊ดวูด โกสต์’ กลายเป็น 5546 มม. และความกว้างโดยรวมเพิ่มขึ้น 30 มม. เป็น 1978 มม. นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนที่สำคัญกับฝากั้นเครื่องยนต์แบบหุ้ม 2 ชั้นและโครงสร้างพื้นห้องโดยสาร เพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ และระบบช่วงล่าง Planar ที่ออกแบบใหม่แกะกล่อง ก็มาช่วยเพิ่มความโดดเด่นของประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลเหมือนอยู่บนพรมวิเศษ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำของตัวรถ ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้ง

เพื่อใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านอลูมิเนียมของแบรนด์ให้มากขึ้นไปอีก โครงสร้างส่วนบนของ ‘นิว โกสต์’ จึงทำจากโลหะ 100% ตัวถังด้านนอกของรถถูกเปลี่ยนให้เป็นแผ่นโลหะชิ้นเดียวที่มีความเนี้ยบ กว้าง และลื่นไหลอย่างไร้รอยต่อตั้งแต่เสาเอ (A-pillar) จนถึงหลังคา และย้อนกลับไปที่ด้านหลังตัวรถ ชวนทำให้นึกถึงยนตรกรรม ‘ซิลเวอร์ ดอว์น’ และ ‘ซิลเวอร์ คลาวด์’ ซึ่งมีแผ่นหุ้มตัวถังชิ้นเดียวแบบงาน coachbuilt นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถทอดสายตาจากด้านหน้าไปจนถึงด้านหลังของตัวรถได้โดยไม่รู้สึกสะดุดด้วยร่องรอยต่อบนตัวถัง ช่างฝีมือ 4 คน เชื่อมตัวถังทั้งหมดของรถด้วยมือโดยพร้อมกัน เพื่อให้รอยต่อต่างๆ มีความต่อเนื่องสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังใช้ประตูอลูมิเนียม 100% ที่เชื่อมด้วยเลเซอร์ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างข้อได้เปรียบด้านน้ำหนัก และความแข็งตึง 40,000Nm/deg ที่โดดเด่น แต่วัสดุยังมีค่าต้านทานเสียงต่ำกว่าเหล็ก และให้บรรยากาศห้องโดยสารที่ดีกว่า

เครื่องยนต์ V12 ทวินเทอร์โบ สูบ 6.75 ลิตร

จากการศึกษาความต้องการของลูกค้า พบว่า ลูกค้าต้องการแรงบิดที่ตอบสนองได้แทบจะในทันทีและการวิ่งที่เงียบสนิท ทำให้แบรนด์พัฒนาเครื่องยนต์เบนซิน V12 ทวินเทอร์โบ สูบ 6.75 ลิตร โครงสร้างเครื่องยนต์แบบบีสโป๊กของโกสต์ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รองรับประสิทธิภาพอันล้นเหลือสำหรับยนตรกรรมที่ทรงพลังนี้ ซึ่งให้แรงบิด 563bhp/420kW และ 850Nm/627lb ft ส่งตรงไปยังระบบขับเคลื่อนทุกล้อและระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า แรงบิดสูงสุดมีให้ตั้งแต่ 1600 รอบ/นาที จนถึงเพียง 600 รอบ/นาทีเหนือจำนวนรอบต่ำสุด และเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติด้านเสียงที่โดดเด่นให้ดียิ่งขึ้น ได้มีการการปรับแต่งระบบท่อนำอากาศเพื่อลดเสียงเครื่องยนต์ภายในตัวรถ

ระบบช่วงล่าง Planar

ประสบการณ์ขับขี่แบบพรมวิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้พัฒนาไปอีกขั้น สำหรับ ‘นิว โกสต์’ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมได้ออกแบบระบบช่วงล่างของยนตรกรรมใหม่ทั้งหมด เพื่อมอบสิ่งที่เรียกว่าระบบช่วงล่าง Planar ระบบนี้ได้รับการตั้งชื่อตามแนวระนาบทางเรขาคณิตซึ่งเรียบและราบเสมอกันตลอดแนวอย่างสมบูรณ์ ระบบนี้เป็นผลมาจากการทดสอบและพัฒนาร่วม 10 ปี เพื่อให้เกิดความรู้สึกเสมือนบินแม้จะอยู่บนพื้นดิน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในยานยนต์ใดๆ

ระบบช่วงล่างนี้อาศัยการพัฒนาทางวิศวกรรม ตลอดจนเทคโนโลยีการสแกนและซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน โดยรวมเอาตัวซับแรงกระแทกปีกนกชิ้นบน (Upper Wishbone Damper) ตัวแรกของโลกไว้เหนือระบบกันสะเทือนล้อหน้า ทำให้การขับขี่มีความมั่นคงและง่ายดายยิ่งขึ้น ระบบนี้ทำงานร่วมกับระบบกล้องสเตอริโอ Flagbearer ที่คอยอ่านสภาพเส้นทางข้างหน้าและเตรียมระบบช่วงล่างให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวถนน และระบบสัญญาณดาวเทียมของแบรนด์ (Satellite Aided Transmission) เทคโนโลยีเหล่านี้ประสานงานเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านระบบซอฟต์แวร์ Planar ที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งทำให้ ‘นิว โกสต์’ สามารถคาดการณ์และตอบสนองได้ดี แม้จะเผชิญกับพื้นผิวถนนที่โหดร้ายมากที่สุดก็ตาม

แค่ Upper Wishbone Damper เพียงอย่างเดียว ก็ต้องใช้เวลาในการทดสอบบนถนนจริงและด้วยซอฟต์แวร์ถึง 5 ปี เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะสำหรับโรลส์-รอยซ์นี้เป็นการต่อยอดระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลดุจพรมวิเศษแบบปีกนกสองชั้น (double-wishbone Magic Carpet Ride) ของแบรนด์ จิตวิญญาณของเซอร์เฮนรี่ รอยซ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์คือการ “ดึงเอาด้านที่ดีที่สุดของสิ่งที่มีอยู่ออกมา แล้วทำให้ดียิ่งขึ้น” (Take the best that exists and make it better.) และด้วยหลักการนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านแชสซีก็ได้พัฒนา Upper Wishbone Damper เพื่อปรับปรุงระบบรองกับการกระแทกแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการผันแปรอย่างต่อเนื่อง และชุดโช้คถุงลม (air strut) ที่ปรับระดับได้เอง ซึ่งไม่เคยถูกนำมาใช้ในยนตรกรรมในท้องตลาดมาก่อน

ระบบเพลาหลังแบบไฟว์ลิงค์และพวงมาลัยล้อหลังยังได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีช่วงล่างถุงลมตัวนี้ด้วย เพลาทั้งสองได้รับการจัดการผ่านซอฟต์แวร์ Planar ของแบรนด์ ซึ่งยังควบคุมเทคโนโลยีแชสซีอื่นๆ ของโกสต์เช่นกัน เช่น ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ ระบบควบคุมการทรงตัว และระบบเบรคแบบ self-drying เพื่อให้แน่ใจว่าทุกส่วนของยนตรกรรมจะสนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวและระดับการยึดเกาะอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในขณะที่ยังรักษาบุคลิกที่มีชีวิตชีวาและทรงพลังของรถไว้ได้

ซอฟต์แวร์ Planar ยังจัดการข้อมูลที่จำเป็นต่อยนตรกรรมโกสต์ในการปรับตัวเชิงรุกให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนผิวทางข้างหน้า เทคโนโลยีแรกคือระบบกล้อง Flagbearer ของแบรนด์ ซึ่งชวนให้นึกถึงผู้ถือธงแดงนำหน้ายานยนต์ในอดีต เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยระบบกล้องสเตอริโอที่ผนึกอยู่กับกระจกหน้าเพื่อช่วยดูเส้นทางจราจรข้างหน้า และระบบช่วงล่างที่ปรับตัวเชิงรุกได้ถึง 100 กม. / ชม. เทคโนโลยีที่ 2 คือระบบสัญญาณดาวเทียมของแบรนด์ ซึ่งจะดึงข้อมูล GPS เพื่อเลือกเกียร์ที่เหมาะสมล่วงหน้าสำหรับการเข้าโค้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือความสะดวกสบายในการขับขี่และการควบคุมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับรถยนต์

ประตูเปิดง่าย

ลูกค้าของโรลส์-รอยซ์ชอบประตูที่ปิดเองได้ตั้งแต่ ‘กู๊ดวูด แฟนธอม’ รุ่นแรก ที่ควบคุมโดยปุ่มบนแผงหน้าปัดและบนเสาซี (C Pillar) สำหรับรถยนต์ที่มีประตูท้าย นวัตกรรมนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในหมู่ลูกค้า สำหรับ ‘นิว โกสต์’ วิศวกรของแบรนด์เลือกที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นจุดเด่นนี้ให้ก้าวหน้าขึ้นอีก และเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถเปิดประตูได้โดยมีระบบไฟฟ้าคอยช่วยเหลือ

ขั้นแรกในการเปิดประตูคือลูกค้าจะดึงที่จับด้านใน 1 ครั้ง จากนั้นปล่อยให้ที่จับกลับสู่ตำแหน่งเดิม ระหว่างนั้นระบบก็จะตรวจสอบอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อม จากนั้นให้ลูกค้าดึงด้ามประตูค้างไว้เพื่อให้ระบบไฟฟ้าเข้ามาเลี้ยงและประตูเริ่มเปิดออก เมื่อประตูเปิดกว้างพอแล้ว ให้หยุดดึงที่จับ ซึ่งเป็นการหยุดประตูไม่ให้เปิดกว้างมากกว่านั้น

เมื่อลูกค้าลงจากรถแล้ว พวกเขาสามารถปิดประตูได้โดยอัตโนมัติโดยกดปุ่มที่มือจับประตูด้านนอก หากพวกเขาต้องการปิดประตูด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ด้วยการช่วยเหลือจากไฟฟ้าอีกเช่นเคย เซ็นเซอร์ตามแนวยาวและตามขวางในตัวรถ ตลอดจนเซ็นเซอร์ G-force ที่ติดอยู่ที่ประตูแต่ละบานจะช่วยให้การเปิด-ปิดประตูทำงานได้เร็วเท่ากัน ไม่ว่ารถจะจอดอยู่บนเนินหรือมุมถนนในซอยแคบก็ตาม

ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร

‘นิว โกสต์’ มีระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร (Micro-Environment Purification System หรือ MEPS) ใหม่ เทคโนโลยีการกรองอากาศที่มีอยู่ของแบรนด์ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ดีขึ้นแบบครบวงจร

เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งปนเปื้อนที่มีความไวสูงถูกนำมาใช้วัดคุณภาพอากาศโดยรอบและจะเปลี่ยนโหมดการทำงานโดยอัตโนมัติจากโหมดรับอากาศภายนอก ไปเป็นโหมดหมุนเวียนอากาศภายใน (Recirculation Mode) หากพบว่าระดับของการปนเปื้อนในอากาศนั้นสูงเกินไป ระบบนี้จะผันอากาศทั้งหมดในห้องโดยสารไปยังตัวกรองนาโนฟลีซ ซึ่งสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนอนุภาคขนาดเล็กพิเศษเกือบทั้งหมดออกจากห้องโดยสารของโรลส์-รอยซ์ได้เกือบทั้งหมด ภายในเวลาไม่ถึง 2 นาที

ยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ที่ล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่สุด

‘นิว โกสต์’ มีความสมบูรณ์แบบในความเรียบง่าย แต่การสร้างสภาพแวดล้อมในห้องโดยสารที่บริสุทธิ์และปลอดสารพิษนี้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ อันที่จริง ‘นิว โกสต์’ เป็นรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดที่โรลส์-รอยซ์เคยผลิตมา อุปกรณ์อื่นๆ ได้แก่ ไฟหน้า LED และเลเซอร์ที่มีระยะส่องสว่างไกลกว่า 600 เมตร ระบบเสริมทัศนวิสัย รวมถึงระบบแจ้งเตือนให้ระวังสัตว์ป่าและคนเดินเท้าในเวลากลางวันและกลางคืน ระบบกระตุ้นผู้ขับ (alertness assistant) ระบบกล้อง 4 ตัวพร้อมมุมมองแบบพาโนรามา มุมมองแบบรอบตัวรถและมุมมองแบบเฮลิคอปเตอร์ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนก่อนการชน ระบบเตือนการจราจรด้านหลังขณะถอยรถ ระบบเตือนเมื่อออกและเปลี่ยนเลน จอแสดงผลบนหน้ากระจก (head-up display) ความละเอียดสูง 7x3 นิ้วที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไว-ไฟ ฮอตสปอต ระบบจอดด้วยตนเอง และระบบนำทางและความบันเทิงล่าสุด

เสียง (Acoustics)
สูตรสำเร็จแห่งความเงียบสงบ

ลูกค้าโกสต์ทำงานในโลกธุรกิจที่ซับซ้อน ดังนั้นสิ่งสำคัญมากเมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่ห้องโดยสารของโรลส์-รอยซ์ คือการรู้สึกว่าถูกห้อมล้อมไว้ด้วยความสบายและความรู้สึกที่ดี ในแง่ความสวยงาม นี่คือผลที่เกิดจากการทำงานและทุ่มเทอย่างไม่ลดละของแบรนด์ในการลดทอนสิ่งไม่จำเป็นและคัดสรรวัสดุที่มีคุณภาพและความหมาย ในแง่ของประสบการณ์ ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยแชสซีและวิศวกรรมระบบขับเคลื่อนที่ไม่มีใครเทียบได้ ตลอดจนการสร้างบรรยากาศทางโสตที่เงียบสงบภายในห้องโดยสาร วิศวกรด้านเสียง ของโรลส์-รอยซ์คือผู้เชี่ยวชาญด้านความเงียบสงบ สำหรับ ‘นิว โกสต์’ เราต้องการที่จะนำความเชี่ยวชาญนั้นมาทำให้เกิดเป็นรูปเป็นร่าง เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์สร้างสูตรสำเร็จแห่งความเงียบสงบ (Formula for Serenity) ที่จะเป็นแนวทางให้ผลิตภัณฑ์ในอนาคตด้วย

องค์ประกอบแรกของสูตรนี้คือสถาปัตยกรรมอลูมิเนียมสเปซเฟรมของโรลส์-รอยซ์ โครงสร้างอลูมิเนียมมีค่าความต้านทานคลื่นเสียง (acoustic impedance) ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับโครงสร้างจากเหล็กกล้า นอกจากนี้ยังใช้พื้นผิวที่มีรูปทรงซับซ้อนแทนที่จะเป็นแบบเรียบซึ่งก่อให้เกิดเสียงสะท้อน ฝากั้นเครื่องยนต์และพื้นห้องโดยสารเลือกใช้แบบหุ้ม 2 ชั้น ตรงกลางเป็นวัสดุคล้ายผ้าสักหลาดทำจากจากวัสดุคอมโพสิตสำหรับซับเสียง เพื่อลดเสียงจากถนนที่เข้ามาในห้องผู้โดยสาร ส่วนอื่นๆ ของยนตรกรรมยังมีจุดสำหรับมีใส่วัสดุซับเสียง ทั้งนี้ ‘นิว โกสต์’ ใช้วัสดุซับเสียงรวมกว่า 100 กิโลกรัม บริเวณประตู หลังคา ระหว่างหน้าต่างเคลือบ 2 ชั้น ในยางรถ และเกือบจะทุกที่ในโครงด้านในของตัวรถ

เมื่อตัวรถซึ่งเป็นเสมือนห้องเก็บเสียงได้รับการพัฒนาแล้วเสร็จ องค์ประกอบอื่นทุกชิ้นที่ก่อให้เกิดเสียงซึ่งแม้ว่าแทบจะรับรู้ไม่ได้ด้วยหูมนุษย์ จะได้รับการตรวจสอบและปรับแต่งอย่างละเอียด กระบวนการนี้เป็นที่รู้จักกันในหมูวิศวกรเสียงว่า ‘hidden inputs’ ในการพัฒนา ‘นิว โกสต์’ องค์ประกอบทุกชิ้นจะถูกตรวจสอบเพื่อประเมินว่าสร้างเสียงรบกวนมากเกินกว่าจะยอมรับได้ตามที่วิศวกรกำหนดไว้หรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้นก็จะต้องถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ด้านในของท่อเครื่องปรับอากาศนั้นสร้างเสียงลมที่ดังเกินยอมรับได้ จึงถูกนำออกและขัดให้เรียบ แม้กระทั่งชิ้นส่วนในการระบบขับเคลื่อนก็ถูกปรับแต่ง เส้นผ่านศูนย์กลางของท่อเพลากลางถูกปรับและเพิ่มความแข็ง ทั้งหมดนี้เพื่อให้สร้างห้องเก็บเสียงที่แทบจะเงียบสนิทของ ‘นิว โกสต์’

องค์ประกอบสุดท้ายของสูตรคือการสร้างเสียงที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวทั่วทั้งตัวรถ ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงของแบรนด์ได้ทดลองสร้างห้องโดยสารที่เงียบสนิท แต่กลับพบว่าความเงียบเกินไปนั้นทำให้เกิดความรู้สึกสับสนอึดอัด พวกเขาจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้าง ‘เสียงกระซิบ’ ซึ่งเป็นเสียงต่ำ โทนเดียวที่สอดแทรกมาอย่างแนบเนียน เพื่อให้เกิดบรรยากาศเช่นนี้ ทีมงานต้องปรับจูนชิ้นส่วนทุกอย่างให้สร้างเสียงสะท้อนในความถี่เดียวกัน ตัวอย่างเช่น โครงเบาะนั่งของรถต้นแบบมีเสียงสะท้อนคนละความถี่กับตัวถัง จึงต้องใช้วัสดุซับเสียงมาช่วยเพื่อปรับเสียงให้อยู่ในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ พื้นที่เก็บของขนาด 500 ลิตร สร้างเสียงความถี่ต่ำที่ผู้โดยสารจะได้ยินเมื่อรถขับด้วยความเร็วบนมอเตอร์เวย์ จึงมีการสร้างช่องไว้ใต้ชั้นเก็บของด้านหลังเพื่อสำหรับระบายเสียงรบกวนนี้ และทำให้เสียงใน ‘นิว โกสต์’ ประสานกันอย่างลงตัวมากขึ้น

ระบบเสียงแบบบีสโป๊ก (Bespoke Audio)

เช่นเดียวกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบเพื่อให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่แทบจะเงียบสนิท การแสวงหาความสมบูรณ์แบบด้านเสียงของโรลส์-รอยซ์ยังนำไปสู่การสร้างห้องโดยสารที่เป็นเหมือนห้องเก็บเสียงชั้นเลิศสำหรับวิศวกรระบบเสียงแบบบีสโป๊กของแบรนด์ การทำงานของหญิงชายเหล่านี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการออกแบบของสถาปัตยกรรมตัวรถด้วย เพื่อสร้างระบบเสียงสำหรับ ‘นิว โกสต์’ ที่สามารถส่งมอบคุณภาพเสียงผ่านทุกอณูของยนตรกรรม

‘นิว โกสต์’ ได้ใส่ Resonance Chamber ไว้ในส่วนฐานของตัวรถ โดยขนาดและรูปร่างของมันจะต้องสอดคล้องกับการตอบสนองต่อความถี่ของชิ้นส่วนในลำโพง Bespoke Audio กล่าวอีกนัยก็คือ องค์ประกอบทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนยนตรกรรมทั้งคันให้กลายเป็นซับวูฟเฟอร์ (Subwoofer) ที่ปล่อยเสียงที่มีความถี่ต่ำเป็นพิเศษ

อุปกรณ์ควบคุมลำโพง 18 ช่องสัญญาณ (หนึ่งช่องสำหรับลำโพงแต่ละตัว) ให้เอาต์พุต 1300W นอกจากนี้เทคโนโลยี optimisation ที่ล้ำสมัยและกรวยลำโพงแมกนีเซียมเซรามิกที่มีความแม่นยำสูง ยังช่วยให้รายละเอียดที่เล็กที่สุดในการเปลี่ยนแปลงของเสียงปรากฏชัดผ่านการตอบสนองต่อความถี่ที่ดีเยี่ยม สำหรับ ‘นิว โกสต์’ ลำโพง Exciter ถูกนำมาใช้ร่วมกับลำโพงแบบกรวยตามปกติ อุปกรณ์เหล่านี้ได้รับการผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพื้นผิวตัวรถ ณ ตำแหน่งที่มันถูกติดตั้ง เพื่อให้สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนจากมวลที่เคลื่อนที่ของ Exciter ผ่านไปยังพื้นผิวบริเวณนั้นโดยตรง ในกรณีของ ‘นิว โกสต์’ พื้นผิวนั้นคือเพดานสตาร์ไลท์ เฮดไลเนอร์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเพดานห้องโดยสารได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นลำโพงขนาดใหญ่

ไมโครโฟนแบบแอคทีฟ 2 ตัวในห้องโดยสารยังมีฟังก์ชันที่ช่วยปรับเสียงด้วย โดยจะตรวจจับการขาดหรือการเกินของความถี่แล้วส่งสัญญาณให้แอมพลิฟายเออร์ปรับความดังของความถี่บางช่วงเพื่อหักล้างความขาดเกินนั้น ส่วนระบบ Bespoke Audio ช่วยให้ผู้โดยสารเพลิดเพลินกับประสบการณ์ฟังเพลงที่ยอดเยี่ยมด้วยคุณภาพเสียงสูงสุดที่ไม่ผ่านการบีบอัด

การออกแบบ
ภายนอก

นับตั้งแต่การเปิดตัวยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ กู๊ดวูดรุ่นแรก บริษัทมีความพิถีพิถันในการสร้างจักรวาลแห่งสุนทรียภาพที่โดดเด่นให้กับยนตรกรรมแต่ละคัน แต่ละจักรวาลที่แตกต่างหลากหลายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นตามค่านิยมการออกแบบที่ลูกค้าโรลส์-รอยซ์แต่ละกลุ่มชื่นชอบ ซึ่ง ‘นิว โกสต์’ ก็สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้ถึงความหรูหราที่เปลี่ยนไป โดยหัวใจอยู่ที่ความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ แต่มีรากฐานมาจากคุณค่าภายในที่ยิ่งใหญ่ แนวคิดดังกล่าวชื่อว่า “โพสต์ ออปพิวเลนซ์” ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนการร่างแผนการออกแบบ ‘นิว โกสต์’ เสียด้วยซ้ำ นิยามของแนวคิดด้านการออกแบบนี้คือการเน้นสาระสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของวัสดุมากกว่าจะเป็นการแสดงออกที่อวดโอ้เกินจริงที่ฝังรากอยู่ในแวดวงสถาปัตยกรรม แฟชั่น เครื่องประดับ กระทั่งการออกแบบเรือ

การแสวงหาความสวยงามแบบเรียบง่ายสำหรับ ‘นิว โกสต์’ คือเป้าหมายสูงสุดของทีมออกแบบตลอดกระบวนการรังสรรค์ แนวทางแบบนี้หาใช่แนวทางที่จืดชืด หากแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในความบริสุทธิ์และความเป็นโรลส์-รอยซ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ความประทับใจแรกที่ได้เห็นยนตรกรรม สถาปัตยกรรมที่เป็นสิทธิบัตรของโรลส์-รอยซ์ช่วยให้ทีมออกแบบสามารถเพิ่มความกว้างของตัวรถได้ 30 มม. เพื่อแสดงออกถึงตัวตนได้อย่างแนบเนียน โครงตัวถังที่โค้งดั่งคันธนูลงมาจรดกับไฟแบบเหลี่ยมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรลส์-รอยซ์ ทำให้หน้ารถดูแข็งกร้าวแต่งดงาม

นอกจากนี้ หน้ารถของ ‘นิว โกสต์’ ยังดูงดงามราวต้องมนต์ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการออกแบบที่โจ่งแจ้ง แต่เป็นเพราะแสงไฟ LED 20 ดวงที่อยู่ซ่อนอยู่ตรงส่วนบนของกระจังหน้าช่วยส่องแสงให้รายละเอียดปรากฏชัด ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนายนตรกรรมต้นแบบในช่วงแรกนั้นยังมีเอฟเฟกต์ที่ดูมากเกิน แสงที่สะท้อนออกมาจากกระจังหน้าขัดเงาดูเข้มไป ดังนั้น ด้วยจิตวิญญาณแห่งสุนทรียศาสตร์แบบ ‘โพสต์ ออปพิวเลนซ์’ ทีมวิศวกรของแบรนด์ได้ตบแต่งด้านหลังของแถบกระจังโลหะ เพื่อลดการสะท้อนแสง ทำให้เอฟเฟกต์อ่อนลง และได้แสงที่นุ่มนวลตามที่ต้องการ

หน้ารถของ ‘นิว โกสต์’ แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในการลดทอนสิ่งไม่จำเป็นของทีมออกแบบ ตัวถังอลูมิเนียมที่เชื่อมด้วยมือทำให้โครงสร้างหลักของรถดูราวกับว่าเป็นผืนผ้าใบที่ลื่นไหลเต็มผืนโดยไม่สะดุดด้วยช่องว่างระหว่างชิ้นส่วน ทำให้นึกถึงรถโค้ชบิลต์เช่น ‘ซิลเวอร์ ดอว์น’ และ ‘ซิลเวอร์ คลาวด์’ และนี่เป็นครั้งแรกที่สปิริต ออฟ เอ็กสตาซี ไม่ได้ถูกล้อมรอบด้วยเส้นขอบฐาน ทำให้รูปปั้นปรากฏกายอย่างโดดเด่นบนฝากระโปรง ดุจยืนอยู่กลาง “ทะเลสาบ”

เมื่อมองจากด้านข้างของตัวรถ จะเห็นลายเส้นเดี่ยวหนึ่งเส้นที่ลากยาวไปตามตัวรถเพื่อเน้นให้เห็นความยาว เส้นโค้ง “waft line” ด้านล่างถูกหยิบยืมมาจากการออกแบบเรือ และใช้การสะท้อนแสงเพื่อทำให้พื้นผิวดูสว่างขึ้น สร้างความรู้สึกที่บริสุทธิ์และง่ายดายของการเคลื่อนไหว

สำหรับการออกแบบกลาสเฮาส์ (glasshouse) ซึ่งหมายรวมถึงกระจกหน้า กระจกหลัง หน้าต่างรถ เสา และหลังคานั้น เจตนาให้มีความสมดุล ประตูทั้งส่วนของคนขับและผู้โดยสารด้านหลังจะได้รับสัดส่วนของหน้าต่างที่เท่ากัน แสดงให้เห็นว่า ‘นิว โกสต์’ นั้นต้องการให้เกิดความสมดุลทั้งในฐานะยนตรกรรมสำหรับให้พนักงานขับและยนตรกรรมที่เจ้าของขับเอง แนวหลังคาโค้งอย่างประณีตบ่งบอกถึงเจตจำนงอันทรงพลัง ส่วนท้ายรถสานต่อความรู้สึกของการเคลื่อนไหวนี้ และจบด้วยแนวเส้นที่ลาดลงในที่สุด

รูปทรงของไฟท้ายที่แทบจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้กลายเป็นหลักของการออกแบบร่วมสมัยของโรลส์-รอยซ์ ซึ่งรูปทรงนี้ยังคงอยู่ แต่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยด้วยการเอียงมาข้างหน้าเล็กน้อย และเนื่องจากรอยต่อรอบไฟได้หายไป จึงทำให้ไฟท้ายดูเหมือนเป็นเกาะที่ได้รับการแต่งแต้มสี ลอยเด่นอยู่บนผิวรถ




ภายใน

ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบการบริโภคสินค้าหรูหราที่เปลี่ยนไปของลูกค้า และมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับแนวทางการออกแบบที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้แบรนด์ทราบว่าการตกแต่งภายในยนตรกรรมควรหันมาใช้รูปแบบที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับภายนอกตัวรถ รายละเอียดที่ยุ่งเหยิงและการตกแต่งแบบผิวเผินถูกตัดออก ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ยนตรกรรมกลายเป็นเสมือนสถานที่ปลีกวิเวกที่ให้ความผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังเพื่อให้สามารถชื่นชมแก่นแท้ของวัสดุให้มากขึ้น และเพิ่มความเด่นของสีรถแบบบีสโป๊กที่เข้ากับลูกค้าแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม การสร้างสภาพแวดล้อมภายในยนตรกรรมที่ถูกนิยามด้วยการลดทอน เน้นความเรียบง่าย และความสง่างาม ถือเป็นความพยายามที่ยากยิ่ง และต้องจัดหาวัสดุที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนัง ไม้ และโลหะ ซึ่งไม่มีทางรอดพ้นสายตาของลูกค้าที่มีความรู้กลุ่มนี้ไปได้หากไม่ได้รับการตกแต่งให้สวยงาม ดังนั้นหนังสัตว์ครึ่งแผ่นทั้งหมด 20 ชิ้น ที่นำมาใช้ในการตกแต่งภายในของ ‘นิว โกสต์’ จะถูกควบคุมคุณภาพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่ทำกันในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นผิวหุ้มหนังทั้งหมด 338 จุด ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลับสายตามากแค่ไหน จะมีคุณภาพดีที่สุด การทำเช่นนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถของแบรนด์เรื่องงานเครื่องหนัง ส่วนงานปักที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิงได้ถูกตัดออก แล้วแทนที่ด้วยฝีเย็บเส้นเดี่ยวบางๆ แต่ยาวอย่างไม่น่าเชื่อและตรงอย่างสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าพร้อมเผชิญการทดสอบด้วยสายตาลูกค้าของแบรนด์อีกครั้ง

ชุดไม้สำหรับ ‘นิว โกสต์’ เป็นแบบเปิดผิวไม้ที่เผยให้เห็นวัสดุอันเปลือยเปล่าอย่างไม่เหนียมอาย แท้จริงแล้วมีการพัฒนาสีเคลือบ 2 สีใหม่โดยเฉพาะ สีแรกชื่อว่า Obsidian Ayous ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความหลากหลายของสีที่พบในหินลาวา สีที่สองชื่อ Dark Amber ซึ่งมอบเสน่ห์เย้ายวนให้กับชุดห้องโดยสาร ด้วยการผสานแนวเส้นของอนุภาคอลูมิเนียมละเอียดเข้ากับไม้สีเข้ม การเคลือบหนังก็เช่นเดียวกัน ผิววัสดุจะถูกเผยให้เห็นได้ชัดเจน แผ่นหนังจะเป็นแผ่นยาวแผ่นเดียว และจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้วยช่องระบายอากาศที่ทำจากโลหะแท้เพียงเท่านั้น และช่องระบายเหล่านี้เอง เป็นจุดที่อากาศจากระบบฟอกอากาศ MEPS จะผ่านเข้ามา

บีสโป๊ก
แผงหน้าปัดเรืองแสง ‘Illuminated Fascia’

ทีมออกแบบ Bespoke Collective ที่ประกอบด้วยนักออกแบบ วิศวกร และช่างศิลป์ได้สร้างแผงหน้าปัดเรืองแสง ‘Illuminated Fascia’ สำหรับ ‘นิว โกสต์’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมชิ้นแรกของโลกที่สอดคล้องไปกับเพดานห้องโดยสาร ‘สตาร์ไลท์ เฮดไลเนอร์’ ที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์เฉพาะตัวของโรลส์-รอยซ์ เช่นเดียวกับสัญลักษณ์สปิริต ออฟ เอ็กสตาซี แผงกระจังหน้าทรงแพนธีออน และโมโนแกรมตัว “R” คู่

หลังจากใช้เวลาพัฒนากว่า 10,000 ชั่วโมง ตลอด 2 ปี แผงหน้าปัด ‘Illuminated Fascia’ ที่มาพร้อมชื่อยนตรกรรมโกสต์แบบเรืองแสง รายล้อมด้วยดาวมากกว่า 850 ดวง ก็ถูกนำมาประดับไว้ภายในห้องโดยสารของ ‘นิว โกสต์’ กลุ่มดาวและข้อความบริเวณแผงหน้าปัดจะถูกซ่อนจนแทบมองไม่เห็นเมื่อเครื่องยนต์ดับอยู่

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการออกแบบ ‘โพสต์ ออฟพิวเลนซ์’ ของ ‘นิว โกสต์’ ทีมออกแบบ Bespoke Collective เลือกที่จะไม่ใช้หน้าจอแบบปกติเพื่อสร้างเอฟเฟกต์ที่น่าหลงใหลนี้ ในทางกลับกันพวกเขาสร้างนวัตกรรมขึ้นใหม่อันเป็นแก่นแท้ของความหรูหราและซับซ้อนอย่างแท้จริง การเรืองแสงเป็นผลมาจากการติดไฟ LED 152 ดวงไว้ทั้งด้านบนและด้านล่างของแผงหน้าปัด สีที่นำมาใช้ได้รับการเลือกอย่างพิถีพิถันให้เข้ากับนาฬิกาของห้องโดยสารและไฟที่หน้าปัดบอกข้อมูลการขับขี่ และเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความ ’Ghost’ จะสว่างสม่ำเสมอเท่ากันหมด มีการสลักจุดกว่า 90,000 จุดลงบนพื้นผิวของเส้นนำแสงความหนา 2 มิลลิเมตร เพื่อช่วยให้แสงกระจายตัวได้ทั่วถึงกัน พร้อมกับสร้างเอฟเฟกต์ที่ระยิบระยับเมื่อทอดสายตาผ่านแผงหน้าปัด เข้ากับประกายที่นุ่มนวลของเพดานสตาร์ไลท์ เฮดไลเนอร์

งานวิศวกรรมขนานใหญ่ถูกนำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าแผงหน้าปัด ‘Illuminated Fascia’ จะไม่มีทางมองเห็นได้เลยในขณะที่ยังไม่ได้เดินเครื่องยนต์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ทีมวิศวกรได้ใช้วัสดุคอมโพสิต 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นพื้นผิวสีดำ Piano Black ซึ่งฉลุด้วยเลเซอร์เพื่อลบสีดำออกบางส่วนและปล่อยให้แสงส่องผ่านคำว่า ‘Ghost’ และกลุ่มดาว พื้นผิวนี้ถูกทับด้วยชั้นที่ 2 ซึ่งเป็นแลคเกอร์สีเข้ม เข้ามาช่วยซ่อนตัวอักษรเอาไว้เมื่อยังไม่ติดเครื่องยนต์ ชั้นสุดท้ายถูกทาทับด้วยแลคเกอร์ในเฉดสีที่กลมกลืน และขัดด้วยมือเพื่อให้ได้ผิวเคลือบหนา 0.5 มิลลิเมตรที่มีความมันเงาเสมอกัน และสอดคล้องกับการตกแต่งในส่วนอื่นของตัวรถที่เน้นบางจุดให้เด่นขึ้นด้วยเทคนิคไฮกลอส


ข้อมูลทางเทคนิค

ขนาด

ความยาวของตัวรถ    5546 มม. / 218 นิ้ว

ความกว้างของตัวรถ   2148 มม. / 85 นิ้ว

ความสูงของตัวรถ(ขณะไม่บรรทุกสัมภาระ)  1571 มม. / 62 นิ้ว

ฐานล้อ   3295 มม. / 130 นิ้ว

 

น้ำหนัก

น้ำหนักรถขณะไม่บรรทุกสัมภาระ (สถาบันมาตรฐานแห่งเยอรมนี)  2490 กก. / 5489.5 ปอนด์

น้ำหนักรถเปล่า (สหรัฐอเมริกา)   2553 กก. / 5628.4 ปอนด์

 

เครื่องยนต์

เครื่องยนต์ / กระบอกสูบ / วาล์ว   6.75 / 12 / 48

ระบบจัดการเชื้อเพลิง  หัวฉีดตรง

แรงบิดสูงสุดณ ความเร็วเครื่องยนต์   850 นิวตันเมตร ณ 1600 รอบต่อนาที

กำลังเครื่องยนต์ ณความเร็วเครื่องยนต์    563 แรงม้าเบรก / 571 แรงม้า (สถาบันมาตรฐานแห่งเยอรมนี) / 420 กิโลวัตต์ณ 5000 รอบต่อนาที

สมรรถนะ[1]

ความเร็วสูงสุด      155 ไมล์/ชั่วโมง, 250 กม./ชั่วโมง (ความเร็วควบคุม)

อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง    4.6 วินาที

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง    4.8 วินาที

 

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง[2]

ขับในเมือง           27-27.7 ลิตร/100 กม. / 10.2-10.5 ไมล์ต่อแกลลอน

(คลาส Le Mans Prototype)

ขับในชานเมือง     12.3-12.9 ลิตร/100 กม. / 21.9-23 ไมล์ต่อแกลลอน

(คลาส Le Mans Prototype)

อัตราสิ้นเปลืองรวม    15.2-15.7 ลิตร/100 กม. / 18-18.6 ไมล์ต่อแกลลอน

(คลาส Le Mans Prototype)

อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (รวม)   347-358 กรัม/กม.

  1. ผลการทดสอบโดยผู้ผลิต ผลการเร่งความเร็วที่แท้จริงอาจผันแปรได้ ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของรถ สภาพถนนและสิ่งแวดล้อม ขั้นตอนการทดสอบ และรูปแบบการขับขี่ ควรใช้ผลการทดสอบเหล่านี้เพื่อการเปรียบเทียบเท่านั้น และไม่ควรพิสูจน์ผลการทดสอบเหล่านี้บนถนนสาธารณะ
  1. ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แสดงให้เห็น ได้รับการกำหนดตามระเบียบ European Regulation (EC) 715/2007 ในเวอร์ชันที่บังคับใช้ ณ เวลาที่มีการอนุมัติรับรองตัวอย่าง (type approval)ค่ากำหนดในช่วงที่แสดงให้เห็นนี้เป็นของอุปกรณ์เสริมและขนาดของล้อและยางต่างๆ สำหรับรุ่นของยนตรกรรมที่เลือก และอาจแตกต่างกันไประหว่างการปรับแต่ง ตัวเลขเหล่านี้ถูกกำหนดค่าตามระเบียบ WLTP ที่ประกาศใหม่ ตัวเลขยังได้รับการแปลงเป็นค่าที่เทียบเท่าระเบียบของ NEDC เพื่อให้สามารถทำการเปรียบเทียบระหว่างยานพาหนะได้ สำหรับการประเมินภาษีหรืออากรต่างๆ (และอื่นๆ) เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์อาจแตกต่างไปจากค่าที่ระบุไว้ ณ ที่นี้

ข้อมูลทางการเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ สามารถดูได้จาก“คู่มืออัตราสิ้นเปลืงเชื้อเพลิง การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้ไฟฟ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นใหม่” (Handbook of Fuel Consumption, the CO2 Emissions and Power Consumption of New Passenger Cars) ซึ่งสามารถรับได้ ณ จุดขายทุกแห่ง และที่ http://carfueldata.direct.gov.uk/

ดูข้อมูลทางเทคนิคฉบับเต็มได้ที่ www.rolls-roycemotorcars.com


Visitors: 1,495,420