ยังทัน!! ค่ายสองล้อไม่เบา!! อวดโฉมรถใหม่ รถไฮไลท์แบบ New Normal ในงาน Bangkok Motor Show 2020

ตัดริบบิ้นเปิดงานกันไปหลายวันแล้ว สำหรับ “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41” ที่จัดขึ้นระหว่างวันนี้ - 26 กรกฎาคมนี้ โดยปีนี้ปฏิวัติการงานงานกันใหม่ ในรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ New Normal มีการวางมาตรการ การคัดกรองผู้เข้าชมงานอย่างเคร่งครัดตามข้อกำหนดของรัฐบาล ค่ายรถยนต์-จักรยานยนต์ นำรถเข้าร่วมงานบนพื้นที่กว่า 170,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดประสบการณ์ใหม่ Virtual Motor Show จำลองบรรยากาศงานสู่โลกออนไลน์อีกด้วย และปีนี้ก็ยังคงมีรถจักรยานยนต์ไฮไลท์เปิดตัวใหม่ ที่น่าสนใจหลายค่ายเลยทีเดียว เริ่มจาก

AP HONDA

All New Forza 350 ได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “Only For The Greatest เพราะที่สุด มีเพียงหนึ่งเดียว” ติดตั้งเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 330 ซีซี 4 วาล์ว ให้การเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แรงเสียดทานต่ำลง ให้สมรรถนะสูงและแรงส่งที่ต่อเนื่อง พร้อมกระเดื่องวาล์วแบบโรลเลอร์ยูนิแคม ให้อัตราเร่งติดมือ เพิ่มเพลาบาลานเซอร์เพื่อสร้างสมดุลให้เพลาข้อเหวี่ยง หม้อกรองอากาศมีขนาดใหญ่ถึง 5.5 ลิตร เพิ่มประสิทธิภาพในการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ พร้อมหม้อน้ำที่ย้ายตำแหน่งมาอยู่ที่ด้านหน้ารถ ส่งผลให้การระบายความร้อนเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยในการกระจายน้ำหนักมาทางด้านหน้าทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ตัวรถยังติดตั้งท่อไอเสียใหม่ที่คายไอเสียออกได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ช่วยรักษากำลังตั้งแต่ช่วงออกตัวจนถึงช่วงเร่งแซง

All New Forza350 มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ที่เหนือชั้น ไม่ว่าจะเป็นกระจกบังลมหรือวินด์สกรีนหน้าที่ปรับระดับได้สูงถึง 150 มม. ช่วยลดแรงลมปะทะขณะขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น ระบบไฟฉุกเฉิน ESS เพิ่มความปลอดภัย สะดวกสบายด้วย In-Console USB Charger & Bottle Holder ช่องชาร์จไฟผ่าน USB Port ขนาดใหญ่ที่สามารถวางขวดน้ำได้ในตัว พร้อมด้วยฟังก์ชั่นล้ำสมัยมากมาย อาทิ แผงหน้าปัดแบบดิจิทัลสไตล์ Cockpit Area แสดงข้อมูลการขับขี่ครบครัน รีโมทอัจฉริยะฮอนด้าสมาร์ทคีย์ระบุตำแหน่งพร้อมกันขโมย ระบบเบรก ABS หน้า-หลัง สะดวกสบายด้วยกล่องเก็บของขนาดใหญ่ใส่หมวกกันน็อกได้ถึง 2 ใบ

เอ.พี. ฮอนด้า พร้อมวางจำหน่าย All New Forza350 แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศด้วยราคาแนะนำ 173,500 บาท โดยมีให้เลือกทั้งหมดสี่สีได้แก่ สีดำ สีขาว-น้ำเงิน สีแดง-ดำ และสีน้ำเงิน-ดำ

พร้อมกันนี้ เอ.พี. ฮอนด้า ยังได้เปิดตัว CT125 Special Edition ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ด้วย โดย CT125 ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของฮอนด้า ล่าสุด รถรุ่นนี้ได้กลายเป็น Lifestyle Gadget ที่สร้างวัฒนธรรมการขับขี่แบบใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว นี่คือรถที่ได้รับผลตอบรับที่ดีมากและจำหน่ายหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากเปิดตัว ครั้งนี้ เรานำเสนอ CT125 รุ่นแต่งพิเศษที่ติดตั้งชุดแต่งจากแบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่นเพิ่มอีก 2 รุ่น ได้แก่ CT125 Military Campster และ CT125 Farm Campster ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียงรุ่นละ 125 คัน เท่านั้น

CT125 Military Campster โดดเด่นด้วยชุดแต่ง Kitaco ที่มาในสไตล์ “Military” กับลาย “พราง” ให้สัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มาพร้อมกระเป๋า Givi และ Guard ที่ดีไซน์มาให้ผู้ขับขี่สามารถออกไปลุยได้ไกลกว่าที่เคย รวมชุดแต่งทั้งสิ้นกว่า 12 ไอเท็ม ราคาแนะนำ 104,900 บาท

CT125 Farm Campster เสริมไลฟ์สไตล์ทุกรายละเอียดอย่างปราณีตเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้ออกนอกเส้นทางไปดื่มด่ำกับธรรมชาติ ด้วยชุดแต่ง G-craft มาพร้อม Wood Box ที่ออกแบบพิเศษติดตั้งเข้ากับด้านท้ายของตัวรถได้อย่างลงตัว และ Adjustable Right Stand ขาตั้งด้านขวาที่ปรับระดับได้ อัดแน่นชุดแต่งทั้งสิ้นกว่า 17 ไอเท็ม ราคาแนะนำ 105,900 บาท

BAJAJ

“BAJAJ” เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ “วรูม ไทยแลนด์” นำเข้ามาถึง 4 รุ่น ที่สะท้อนเอกลักษณ์ความสปอร์ตอย่างชัดเจน รวมถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ที่แข็งแรง ทนทาน อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ให้ความเร็ว ความแรง สมกับสโลแกน “บาจาจ แรง แกร่ง เท่” เพื่อเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แนวสปอร์ต เริ่มกันที่....

1. BAJAJ Pulsar NS 160
• เครื่องยนต์ DTSI ระบบหัวฉีด
• ขนาด 160 ซีซี
• ระบบสองหัวเทียน
• ดิสก์เบรกหน้าและหลัง
• เฟรมแบบ Perimeter
ราคาจำหน่ายพิเศษช่วงแนะนำ 69,800 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม, ไม่รวมทะเบียน และพ.ร.บ.)

2. BAJAJ Pulsar NS 200 FI ABS
• เครื่องยนต์ DTSI ระบบหัวฉีด
• โดดเด่นด้วยตัวจุดระเบิดแบบ Triple Spark Plug
• ขนาด 200 ซีซี 24.5 แรงม้า
• ระบายความร้อนด้วยน้ำ
• ระบบเบรกมาพร้อม ABS หน้า
• ไฟเรืองแสงแบบ Blue Light
• เบาะนั่งแยกชิ้นสไตล์รถบิ๊กไบค์
• เฟรมแบบ Perimeter
ราคาจำหน่ายพิเศษช่วงแนะนำ 79,800 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม, ไม่รวมทะเบียน และพ.ร.บ.)

3. BAJAJ Pulsar RS 200 FI ABS
• รถสไตล์สปอร์ตไบค์ รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวดุดัน
• โดดเด่นด้วยไฟหน้าคู่แบบ Projector
• ไฟท้ายแบบเส้นโค้งเว้าที่ไม่เหมือนใคร
• เครื่องยนต์ DTSI ระบบหัวฉีด
• โดดเด่นด้วยตัวจุดระเบิดแบบ Triple Spark Plug
• ขนาด 200 ซีซี 24.5 แรงม้า
• ระบายความร้อนด้วยน้ำ
• ระบบเบรกมาพร้อม ABS หน้า
• ท่อไอเสียดีไซน์แบบสปอร์ต
• ไฟเรืองแสงแบบ Blue Light
• เบาะนั่งแยกชิ้นสไตล์รถบิ๊กไบค์
• เฟรมแบบ Perimeter
ราคาจำหน่ายพิเศษช่วงแนะนำ 89,800 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม, ไม่รวมทะเบียน และพ.ร.บ.)

4. BAJAJ Dominar 400
• เน็คเก็ตไบค์ สไตล์ Sport Tourer
• เครื่องยนต์ DTSI ระบบหัวฉีด แบบ Dual Overhead Camshaft
• โดดเด่นด้วยตัวจุดระเบิดแบบ Triple Spark Plug 
• ขนาด 400 ซีซี 40 แรงม้า
• ทำความเร็ว 0 ถึง 100 ก.ม. ในเวลา 7.1 วินาที
• ไฟหน้าแบบ Full LED Headlamp
• เกียร์ 6 สปีด พร้อมด้วย Slipper Clutch
• โช้คหน้า Upside Down ขนาด 43 มิลลิเมตร
• โช้คหลังแบบ Mono Shock
• ระบบเบรกมาพร้อม ABS จาก Bosch แบบ Dual Channel
• ดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร
• ท่อไอเสียแบบคู่ สไตล์รถแข่ง
• เทคโนโลยีหน้าจอ LCD คู่
• เฟรมแบบ Solid Stamp Perimeter Frame
ราคาจำหน่ายพิเศษช่วงแนะนำ 115,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม, ไม่รวมทะเบียน และพ.ร.บ.)



DUCATI

สำหรับงาน Motor Show 2020 ในปีนี้ ดูคาติไทยแลนด์ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการนำรถดูคาติที่ได้มีการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการใช้งานทางด้านการขับขี่ทั้งในสนามแข่งขันและการใช้งานบนท้องถนนอย่าง New Panigale V4 (พานิกาเล่ วีโฟร์ ใหม่ เวอร์ชั่นปี 2020) และรถที่ขี่สนุก โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่ พร้อมให้คุณใช้เทคโนโลยีในการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ กับ Scrambler 1100 Pro (สแครมเบลอร์ หนึ่งพันหนึ่งร้อย โปร) นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถดูคาติในงาน ทั้งการผ่อนดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 72 เดือน และฟรีดาวน์ 15% ที่งาน Motor Show 2020 ตั้งแต่วันนี้-26 กรกฎาคม 2563 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี”

สำหรับรถดูคาติรุ่นใหม่ที่นำมาเปิดตัวในงาน Motor Show 2020 มีดังนี้

1.Ducati Panigale V4 MY 2020



Panigale V4 S MY 2020

พานิกาเล่ วีโฟร์ ใหม่ เวอร์ชั่นปี 2020 ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ยกระดับความเป็นมืออาชีพในสนามแข่ง ทำให้รถ Panigale V4 MY 2020 เป็นรถที่ง่ายต่อการควบคุม และสามารถทำเวลาได้เร็วขึ้นทั้งในสนามแข่งและการใช้งานบนท้องถนน

เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale ถูกวางทำมุมในตำแหน่ง 90 องศา เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในรถ Ducati ใน MotoGP ความจุกระบอกสูบ 1,103 ซีซี โดยมีระบบ Desmodromic Timing, Counter-rotating Crankshaff ที่หมุนตรงกันข้ามกับเครื่องยนต์ทั่วไป เพื่อลดผลกระทบจากแรงเหวี่ยงของล้อ และ “Twin Pulse” fingle order การจุดระเบิด 2 ครั้งในการหมุน 90 องศา และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale มีพละกำลังอยู่ที่ 214 แรงม้า ที่ 13,000 รอบต่อนาที และเรียกแรงบิดสูงสุดได้ที่ 124 นิวตันเมตร ที่ 10,000 รอบต่อนาที และมาพร้อมกับล้อ Marchesini

ทางทีม Ducati และ Ducati Corse ได้ร่วมกันพัฒนารถโดยใช้ข้อมูลจากผู้ใช้รถ Ducati ทั้งการใช้งานบนท้องถนนทั่วไป และจากการแข่งขัน World Superbike จึงปรับเฟรมหน้าให้มีความแข็งแรงและมีการยืดหยุ่นที่ดี ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ต่างจาก Panigale V4 เวอร์ชั่นที่แล้ว ที่เฟรมหน้าและระบบช่วงล่างที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดขององศาการเอียงรถในขณะเข้าโค้งเช่นเดียวกันกับ V4 R ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าโค้งได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น สำหรับ V4 ตัวมาตรฐานจะใช้ช็อคอับหน้า Showa ขนาดลูกสูบ 43 มิลลิเมตร และกันสะบัดจาก Sachs พร้อมทั้งช็อคอับหลัง Sachs โดยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สามารถปรับระดับแรงกดสปริง, ความแข็งและความหนืดได้เช่นเดียวกัน และในเวอร์ชั่น S จะมีระบบช่วงล่างปรับอิเล็กทรอนิกส์ Ohlins NIX-30 สำหรับช็อคอับหน้า, กันสะบัดปรับไฟฟ้า Ohlins และช็อคอับ Ohlins TTX 36 ปรับไฟฟ้าเช่นกัน ทั้งหมดทำงานร่วมกับระบบ IMU ( Initial Measurement Unit ) 6 แกน จึงทำให้ Ducati Panigale V4 เวอร์ชั่นนี้ สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้นและมีการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ใน Panigale V4 เวอร์ชั่นปี 2020 เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีอยู่ใน Panigale V4 R ซึ่ง Ducati ได้ทำการพัฒนาระบบอากาศพลศาสตร์บนตัวรถ มีการคำนวณแรงกดอากาศในอุโมงค์ลมโดยใช้ระบบ preliminary CFD บนคอมพิวเตอร์ในการทดสอบและออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการยึดเกาะถนนและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ โดยพัฒนา New Aerodynamic package ใหม่ดังนี้

-แฟริ่งด้านข้างที่กว้างขึ้นและชิลด์หน้าใหม่ที่กว้างและสูงขึ้น เพื่อลดแรงลมที่มาปะทะกับผู้ขับขี่
-ช่องอากาศที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการไหลเวียนของอากาศผ่านระบบระบายความร้อนและออยล์คูลเลอร์ ถึง 6% หรือ 16% ตามความเร็วของรถ
-Aerofoils หรือ Winglets บริเวณด้านหน้า เมื่อทำงานร่วมกับอากาศพลศาสตร์ของชุดแฟริ่ง จะมีแรงกดอากาศที่ล้อหน้าเพิ่มขึ้นถึง 30 กก.ที่ความเร็ว 270 กม./ชม. 
ทั้งนี้ สามารถเพิ่มสมรรถนะของ Panigale V4 MY 2020 ด้วยท่อไอเสีย Akrapovic racing exhaust system ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรถโดยรวมลดลงถึง 6 กิโลกรัม และแรงม้าเพิ่มขึ้น 6% เป็น 226 แรงม้า ซึ่งจะทำให้อัตราส่วน แรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 1.19 แรงม้าต่อ 1 กิโลกรัม สำหรับราคา Panigale V4 เวอร์ชั่น Standard อยู่ที่ 999,000 บาท และ Panigale V4 เวอร์ชั่น S อยู่ที่ 1,249,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

2. Ducati Scrambler 1100 Pro



Scrambler 1100 Pro Scrambler 1100 Sport Pro

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1,079 ซีซี 86 แรงม้า มาพร้อมระบบสมองกล ECU M4C โดย Continental และระบบเซ็นเซอร์ใหม่ “lambda sensor” รวมถึง “Map sensors” ที่ใช้ใน Panigale V4 ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเเทรคชั่นคอนโทรลที่จะช่วยควบคุมการสไลด์ของตัวรถในขณะเจอสภาพถนนที่เปียกลื่น หรือแม้กระทั่งขณะเพลิดเพลินอยู่ในโค้งแล้วเผลอใช้คันเร่งแรงเกินไป โดยเมื่อรถมีอาการล้อหลังเริ่มหมุนเร็วกว่าล้อหน้า ตัวรถจะตัดกำลังของเครื่องยนต์ลงเพื่อรักษาอาการรถไม่ให้เสียอาการเนื่องจากล้อหลังสไลด์ หรือแม้กระทั่งการใช้เบรกอย่างเต็มน้ำหนักขณะรถเอียงอยู่ในโค้ง ระบบ Cornering ABS ก็จะช่วยไม่ให้รถลื่นไถลจากการใช้เบรกในโค้ง ควบคุมด้วยระบบล่าสุด “IMU แบบ 6 แกน” นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยน Riding Modes ได้ 3 รูปแบบ ทั้ง Active, Journey และ City ช่วยเพิ่มความมั่นใจและตอบโจทย์ได้ทุกการเดินทาง

สำหรับ Scrambler 1100 PRO มีดีไซน์สีทูโทน“Ocean Drive” ผนวกเข้ากับเฟรมสีดำและซับเฟรมหลังอลูมิเนียม มาพร้อมกับท่อไอเสียทรงใหม่ดีไซน์ออกคู่ด้านข้าง และการ์ดบังโคลนหลังที่ยึดป้ายทะเบียนด้านล่าง รวมถึงชุดโคมไฟหน้าแบบ “X-shape” อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วน Scrambler 1100 Sport PRO มีการออกแบบที่เพิ่มเติมในหลายจุด โดยสะท้อนบุคลิกที่ดูสปอร์ตและความเป็นอิสระบนท้องถนนอย่างชัดเจน ด้วยสีดำด้านดุดัน และแฮนด์เดิลบาร์ทรงต่ำ รับกันกับกระจกส่องหลังสไตล์ “café racer” มาพร้อมกับช่วงล่างที่ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจากช็อคอับระดับโลกอย่าง Öhlins ทั้งด้านหน้าและหลัง ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตได้อย่างชัดเจน โดยราคาของ Ducati Scrambler 1100 PRO อยู่ที่ 579,900 บาท และราคา Ducati Scrambler Special 1100 Sport PRO อยู่ที่ 659,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

3. Ducati Diavel 1260 S

Diavel 1260 S Ducati Red

การผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของรถ Diavel และเครื่องยนต์ Testastretta DVT 1260 (เทสตาสเทรทต้า ดีวีที หนึ่งสองหกศูนย์) ที่มีวาล์วเดสโมโดรมิกแบบแปรผัน ทำให้การตอบสนองของคันเร่งมีความนุ่มนวลสูงสุดในรอบต่ำ และให้อารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ตในรอบสูง ทำให้การขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูงหรือการเข้าโค้ง มีความปลอดภัยจากเทคโนโลยีอันทันสมัย ทำให้ Ducati Diavel ใหม่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่นและสุนทรียภาพในการขับขี่ไว้ได้อย่างลงตัว สำหรับราคา Diavel 1260 S สีแดง (Ducati Red) ใหม่ อยู่ที่ 999,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป


BMW

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย นำความเร้าใจสู่นักบิดไทยอีกครั้ง เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ใหม่ในตระกูลไดนามิก โรดสเตอร์และแอดเวนเจอร์ สปอร์ต ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR พร้อมเผยโฉมบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ในสีใหม่ Hockenheim Silver Metallic และนำทัพมอเตอร์ไซค์หลากรุ่นมาจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 15 – 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดมิดไซส์สองรุ่นใหม่ล่าสุดจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R มอบความสนุกสนานจากการขับขี่สไตล์สปอร์ตและสมรรถนะสุดปราดเปรียว เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์สไตล์ไดนามิก โรดสเตอร์ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการใช้งานและท่วงท่าในการขับขี่ ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ในตระกูลแอดเวนเจอร์ สปอร์ต ก็ได้ผสานประสิทธิภาพในการขับขี่ระยะไกลแบบทัวริ่งและดีไซน์อันทรงพลังเข้าไว้ได้อย่างลงตัว ส่วนโรดสเตอร์ระดับตำนาน บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR กลับมาอีกครั้งในสีใหม่ Hockenheim Silver Metallic มอบลุคสปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครได้ในทุกเส้นทาง

มร. มิเกล ญาเบรส-โปห์ล ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย กล่าวว่า “ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา เราต่างต้องรับมือกับความท้าทายมากมาย แต่เรายังคงรักษาระดับยอดขายของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดบิ๊กไบค์ไทย ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ของผู้บริโภค เราจึงเน้นย้ำถึงการมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความยืดหยุ่นอย่างรอบด้านให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่และข้อเสนออีกมากมาย รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธ
จัดแสดงของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดในงานมอเตอร์โชว์ 2020 ซึ่งแม้จะต้องปรับตัวกับวิถีใหม่เช่นนี้ 

แต่เรายังคงสานต่อความมุ่งมั่นในการนำเสนอความสนุกสนานในการขับขี่สไตล์บีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์โรดสเตอร์ใหม่ บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ใหม่ที่ทั้งคล่องตัวและปราดเปรียวให้นักบิดไทยได้สัมผัส ตอบโจทย์ทั้งในด้าน
ความสุนทรีย์และะการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R ใหม่
ราคาจำหน่าย: 495,000 บาท สำหรับสี Black Storm Metallic (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
520,000 บาท สำหรับสี Hockenheim Silver Metallic / Racing Red 
(Sport Style) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
525,000 บาท สำหรับสี San Marino Blue Metallic (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)


บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ใหม่
ราคาจำหน่าย: 535,000 บาท สำหรับสี Light White (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
550,000 บาท สำหรับสี Racing Red (Sport Style) (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
550,000 บาท สำหรับสี Galvanic Gold Metallic (Exclusive Style) 
(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

 

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R ใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบอิสระในการขับขี่และตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายในไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ จึงเหมาะสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าสำหรับนักบิดสายสปอร์ต
มากประสบการณ์หรือนักบิดมือใหม่



ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ใหม่ นับเป็นที่สุดของมอเตอร์ไซค์ในตระกูลแอดเวนเจอร์ สปอร์ตอย่างแท้จริง ด้วยสมรรถนะโฉบเฉี่ยว ตำแหน่งการขับขี่ี่แบบนั่งตรงสไตล์ GS ความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะไกล 
ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และรูปลักษณ์ที่สื่อถึงความทรงพลัง เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ ความโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังอยู่ที่การสืบทอดดีไซน์และคอนเซปต์ของมอเตอร์ไซค์ใน
ตระกูล XR ที่ผสานความสปอร์ตและสมรรถนะแบบทัวริ่งเข้าไว้ได้อย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีใน
การขับขี่ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) และระบบ Keyless Ride ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนในมอเตอร์ไซค์ระดับกลาง

ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และ F 900 XR ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สองสูบแถวเรียงที่ได้รับการพัฒนาให้มีความทรงพลังยิ่งขึ้น หลังจากที่เปิดตัวไปพร้อมบีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS ในปี 2561 มอบพละกำลัง 
73 กิโลวัตต์ (99 แรงม้า) แรงบิด 88 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบต่อนาที โดดเด่นด้วยขนาดของเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 895 ซีซี จาก 853 ซีซี พร้อมองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศา และระบบเก็บเสียงแบบใหม่ มอบเสียงทรงพลังและเร้าใจยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมระบบคลัทช์แบบ anti-hopping และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) จากการชะลอตัวหรือลดเกียร์ เพื่อมอบความปลอดภัยยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และ F 900 XR ใหม่ สร้างความสนุกสนานในการขับขี่ด้วยโหมดการขับขี่ ‘Rain’ และ ‘Road’ รวมทั้ง Riding Modes Pro เพื่อยกระดับความสปอร์ตให้เร้าใจยิ่งขึ้น เสริมความปลอดภัยด้วยระบบเบรก ABS Pro และระบบ ASC (Automatic Stability Control) ซึ่งสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ตามต้องการ พร้อมระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ระบบ Dynamic Brake Control (DBC) และระบบ Dynamic ESA

เช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์ GS ในตระกูล F-Series รุ่นอื่น ๆ บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และ F 900 XR มาในโครงสร้างเฟรมเหล็กกล้าที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เครื่องยนต์และถังน้ำมันซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหน้าคนขับ
เช่นเคย การควบคุมล้อหน้าตอบสนองได้อย่างฉับไวด้วยโช้คแบบเทเลสโคปิก ส่วนล้อหลังควบคุมด้วยสวิงอาร์มคู่อะลูมิเนียมพร้อมระบบกันสะเทือนแบบ Central Suspension strut

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมถังน้ำมันขนาด 15.5 ลิตร ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R มาพร้อมถังน้ำมันขนาด 13 ลิตร โดยถังน้ำมันของทั้งสองรุ่นมีน้ำหนักเบาและผ่านกระบวนการเชื่อมด้วยพลาสติกที่นำมาใช้ในการผลิตมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรก ขณะที่โครงสร้างการยึดเหล็กกล้าส่วนท้ายรถก็ได้รับการออกแบบมา
ให้ใช้งานเป็นครั้งแรกในมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นนี้เช่นกัน จึงทำให้ส่วนท้ายรถมีรูปลักษณ์ที่เพรียวและสั้นยิ่งขึ้น โดยบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R ซึ่งเป็นโรดสเตอร์ที่ออกแบบมาสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ จะมีระยะสปริงที่สั้นกว่าบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ที่เน้นการขับขี่ที่นุ่มสบายและหลากหลายกว่าในสไตล์แบบทัวริ่ง

ระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) พร้อมระบบ Headlight Pro นอกจากจะสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ยิ่งขึ้นแล้ว ยังนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นในมอเตอร์ไซค์ขนาด
มิดไซส์ ทำให้การขับขี่เวลากลางคืนมีความอุ่นใจยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าส่องสว่างตามการเลี้ยวโค้ง และหลอดไฟ LED ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับมอเตอร์ไซค์ในตระกูล F-Series ทุกรุ่น

สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R มาพร้อมตำแหน่งเบาะนั่งที่ตอกย้ำถึงความเป็นโรดสเตอร์สปอร์ตปราดเปรียว รูปลักษณ์ด้านหน้าที่คมชัด ดีไซน์รูปทรงไฟหน้าดุดัน และการออกแบบส่วนท้ายรถที่สั้นและโฉบเฉี่ยว ล้วนสื่อถึงสมรรถนะความสปอร์ตอันทรงพลังอย่างแท้จริง

ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมตำแหน่งที่นั่งซึ่งมอบทั้งความสปอร์ตและความสบายสำหรับ
การขับขี่แบบทัวริ่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ระยะไกล ชุดแฟริ่งด้านหน้าที่มาพร้อมกระจกกันลม
ปรับระดับได้มอบทั้งลุคสปอร์ตและการป้องกันให้แก่ผู้ขับขี่

นอกจากนี้ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังมีหน้าจอ TFT สีขนาด 6.5 นิ้วและ
ระบบเชื่อมต่อ BMW ConnectedRide เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R โดดเด่นในสามสีสามสไตล์ ในสี Black Storm Metallic สี San Marino Blue Metallic และสี Hockenheim Silver Metallic/Racing Red (Style Sport) ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาให้เลือกในสามสไตล์เช่นกัน ในสี Light White สี Racing Red (Style Sport) และสี Galvanic Gold Metallic 
(Style Exclusive)

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR 
ราคาจำหน่าย: 910,000 บาท สำหรับสี Hockenheim Silver Metallic (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
890,000 บาท สำหรับสี Racing Red (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)


บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR เจเนอเรชั่นที่สาม ได้รับการพัฒนาในด้านสมรรถนะอย่างรอบด้าน สามารถทำความเร็วในสนามเอาชนะรุ่นก่อนหน้าได้ถึง 1 วินาที ทั้งยังมาพร้อมกับการออกแบบรูปโฉมและระบบต่าง ๆ ที่คำนึงถึงการใช้งานที่สะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมและการขับขี่สูงสุด 
ทั้งในชีวิตประจำวัน บนเส้นทางคดเคี้ยว หรือแม้กระทั่งบนสนามแข่ง โดยหลังจากที่เปิดตัวรุ่นใหม่ล่าสุดในประเทศไทยไปเมื่อปี 2562 มอเตอร์ไซค์ซูเปอร์สปอร์ตระดับตำนานรุ่นนี้จะกลับมาสร้างความเร้าใจอีกครั้ง
ในสีใหม่ Hockenheim Silver Metallic

ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบและเทคโนโลยี BMW ShiftCam สมรรถนะโดยรวมของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ จึงได้รับการยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่ง BMW ShiftCam มีส่วนสำคัญในการเสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ เสริมด้วยระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบท่อไอเสียที่ได้รับ
การปรับปรุงให้มีน้ำหนักเบาลงถึง 1.3 กิโลกรัม นอกจากนี้ เครื่องยนต์ 4 สูบ 4 จังหวะ ขนาด 999 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน ยังส่งพละกำลังเพิ่มขึ้น 6 กิโลวัตต์ (8 แรงม้า) เป็น 152 กิโลวัตต์ (207 แรงม้า) ที่ 13,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบต่อนาทีช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่และการเร่งขณะขับขี่ที่ความเร็วต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังมีน้ำหนักเบาลงถึง 11 กิโลกรัม ลงจาก 208 กิโลกรัมในรุ่นก่อนหน้ามาอยู่ที่ 197 กิโลกรัม

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังมาพร้อมกับน้ำหนักที่เบาลง และการออกแบบตัวรถให้ส่วนโครงสร้างรอบ ๆ เครื่องยนต์ช่วยรับน้ำหนักของชิ้นส่วนอื่น ๆ มากขึ้น ดังนั้น เฟรมของรถจึงได้รับการออกแบบใหม่ให้เหมาะสมกับสรีระของผู้ขับขี่มากขึ้น และยังช่วยถ่ายโอนแรงกดจากน้ำหนักให้ส่งตรงไปที่โครงสร้างรอบเครื่องยนต์ในระยะทางที่สั้นที่สุด ส่วนการเคลื่อนที่ของรถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้นจากการผสานประสิทธิภาพระหว่างมิติรถ การกระจายน้ำหนักระหว่างล้อ และความสามารถในการรับน้ำหนักที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ชุด Full Floater Pro ที่ช่วยเสริมการเคลื่อนที่ในล้อหลังยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบช่วงล่าง ซึ่งด้วยการพัฒนาทั้งหมดนี้ ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ สามารถนำเสนอการควบคุมรถและการยึดเกาะถนนที่แม่นยำยิ่งขึ้นในทุกสภาวะการขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังสามารถรองรับสไตล์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง 4 รูปแบบการขับขี่พื้นฐาน ได้แก่ “Rain”, “Road”, “Dynamic” และ “Race” อีกทั้งยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบโปร ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนการควบคุมต่าง ๆ ให้ตรงกับรูปแบบการขับขี่เฉพาะตัว ทำงานร่วมกับระบบเบรก ABS Pro ระบบ Dynamic Traction Control อัตราเร่ง และการหน่วงกำลังเครื่องยนต์ ที่ปรับเปลี่ยนตามทักษะและรูปแบบในการขับขี่ นอกจากนี้ ระบบ Dynamic Damping Control (DDC) ยังได้รับการพัฒนาเฉพาะสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ปรับค่าการสั่นสะเทือนให้เหมาะสมตามสภาพถนน

แผงหน้าปัดของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ได้รับการออกแบบใหม่ให้เหมาะสมกับสไตล์ซูเปอร์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มการแสดงผลต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น และยังมาพร้อมจอแสดงผล TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ง่ายต่อการอ่านค่าในทุกสภาพแสง โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลได้ 2 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Pure Ride ซึ่งเน้นการแสดงผลการขับขี่ที่สำคัญ และ Core Ride ที่สามารถเลือกการแสดงผลค่าต่าง ๆ ได้อีก 3 รูปแบบ เพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกการแสดงผลที่เหมาะกับสไตล์การขับขี่ที่หลากหลายได้ตามความต้องการ

บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ยังมาพร้อมเฟรมตัวถังแบบใหม่ Flex Frame ที่ใช้พื้นที่บริเวณถังน้ำมันและเบาะนั่งน้อยลง จึงเพิ่มพื้นที่สำหรับการรองรับน้ำหนักและที่รองเข่ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จุดสัมผัสระหว่างผู้ขับขี่และตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ให้สอดรับกับองศาระหว่างผู้ขับขี่ มือจับทั้งสองข้าง เบาะนั่ง และที่พักเท้า เพื่อให้ผู้ขับขี่อยู่ในท่วงท่าที่สบายที่สุดตามหลักการยศาสตร์ ไฟหน้า LED ตอกย้ำถึงความโฉบเฉี่ยวและความดุดันของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ดีไซน์ตัวถังใหม่สร้างความโดดเด่นสะดุดตาจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยมาในสีใหม่ล่าสุด Hockenheim Silver Metallic เพิ่มเติมจากสีแดง Racing Red

HUSQVARNA

บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2020 ครั้งนี้ บริษัทฯ จะทำการเปิดตัวรถจักรยานยนต์อีก 2 แบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่างเป็นทางการคือแบรนด์ KTM (เคทีเอ็ม) และแบรนด์ Husqvarna (ฮัสกวานา) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะกลุ่มผู้หลงไหล และชื่นชอบรถจักรยานยนต์ในกลุ่มรถสปอร์ต และกลุ่มรถแอดเวนเจอร์ให้ได้อย่างครอบคลุม และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถลงชื่อเพื่อจองสิทธิ์รับรถก่อนใครได้ในงานมอเตอร์โชว์ ส่วนกำหนดการส่งมอบรถจะอยู่ประมาณปลายปีนี้

KAWASAKI

Kawasaki Ninja ZX-25R ที่มาขุมพลัง 4 สูบเรียงที่สุดแห่งความเร้าใจ โมเดลซูเปอร์สปอร์ต 250 ซีซี รุ่นใหม่แบบ All-new เปิดตัวครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 15-26 กรกฎาคมนี้



KTM

“วรูม ไทยแลนด์” บุกเวทีมอเตอร์โชว์ 2020 ประเดิมส่งรถจักรยานยนต์ 3 แบรนด์บิ๊กไบค์ชั้นนำระดับโลกนำโดย KTM, Husqvarna & BAJAJ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เดินหน้าบุกตลาดรถจักรยานยนต์เมืองไทยจัดเต็มกับไฮไลท์พิเศษ เปิดตัวแบรนด์ “บาจาจ” ครั้งแรกในเมืองไทยส่ง 4 โมเดล BAJAJ Pulsar NS 160, BAJAJ Pulsar NS 200 FI ABS, BAJAJ Pulsar RS 200 FI ABS และ BAJAJ Dominar 400 พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษ และโปรโมชั่นสุดเร้าใจภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ระหว่างวันนี้ - 26 กรกฎาคม 2563

ROYAL ENFIELD

รอยัล เอนฟิลด์ เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์มาตรฐานไอเสียยูโร 4 ‘รอยัล เอนฟิลด์ คลาสสิก 500 สเตลท์ แบล็ค สเปเชียล เอดิชั่น’ มาพร้อมระบบเบรก ABS ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ราคาเริ่มต้นที่ 196,800 บาท วางจำหน่ายในรอยัล เอนฟิลด์สโตร์ทั่วประเทศไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

รอยัล เอนฟิลด์ คลาสสิก 500 ได้รับการติดตั้งระบบการจ่ายน้ำมันแบบไฟฟ้า (Electronic Fuel Injection: EFI) ในเครื่องยนต์ UCE ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น เพิ่มความสามารถในการขับขี่ และความสามารถในการสตาร์ทรถที่มั่นคงแม้เครื่องยนต์เย็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์ส่งพลังขับเคลื่อนได้อย่างคงที่ในทุกสภาวะ และยังได้รับการปรับกำลังเครื่องยนต์ในภาพรวมและแรงบิดให้ดีที่สุดเพื่อเพิ่มสมรรถนะของรถตลอดช่วงการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อความรู้สึกที่เหนือชั้นขณะขับขี่ อีกทั้งเพิ่มความดุดันด้วยท่อไอเสียสีดำด้านที่ไม่เหมือนใครและรองรับมาตรฐานไอเสียยูโร 4 นอกจากนี้ รอยัล เอนฟิลด์ คลาสสิค 500 สเตลท์ แบล็ค ยังมาพร้อมล้ออัลลอยคุณภาพมาตรฐาน และประกันรถมอเตอร์ไซค์ 2 ปี



TRIUMPH

เผยโฉมรถไทรอัมพ์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชัน ที่สุดของรถมอเตอร์ไซค์สไตล์อังกฤษที่ทุกคนเฝ้ารอคอยเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ได้แก่ “บอนเนวิลล์ บอบเบอร์ ทีเอฟซี” (Bonneville Bobber TFC) ที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดเพียง 750 คันทั่วโลก ที่มาพร้อมแรงบิดสูงของเครื่องยนต์ขนาด 1,200 ซีซี ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิม การตกแต่งและรายละเอียดสุดพรีเมี่ยมไปอีกขั้น รวมถึงโครงรถที่มีคุณลักษณะเฉพาะและมีน้ำหนักเบากว่าเดิม รวมไปถึงอุปกรณ์และเทคโนโลยีเฉพาะรุ่น TFC ที่มีความโดดเด่นขั้นสูงสุด ในราคา 869,000 บาท 

พร้อมกันนี้ยังได้เผยโฉมตัวจริง 2 รุ่น สเปเชี่ยล อิดิชัน ได้แก่ “บอนเนวิลล์ ที120 บัด อีคินส์” (Bonneville T120 Bud Ekins) และ “บอนเนวิลล์ ที100 บัด อีคินส์” (Bonneville T100 Bud Ekins) ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับนักขี่ข้ามทะเลทราย นักขี่สตันท์แมน ผู้เป็นตำนานแห่งวงการจักรยานยนต์อย่าง Bud Ekins ซึ่งรถจักรยานยนต์สุดพิเศษและสวยงาม ทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมการออกแบบตัวถังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์แคลิฟอร์เนีย มาพร้อมกับตราโลโก้ “Flying globe” ในสไตล์แคลิฟอร์เนียสุดโดดเด่น และเฉดสีขาวแดงอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงรายละเอียดพิเศษ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตลอดจนนำเสนอเทคโนโลยีที่เน้นผู้ขับขี่อย่างครบครัน เพื่อการควบคุมรถ ความปลอดภัย และความมั่นใจของผู้ขับขี่ 

โดย “บอนเนวิลล์ ที120 บัด อีคินส์” (Bonneville T120 BUD EKINS) มาพร้อมเครื่องยนต์บอนเนวิลล์สูบคู่ขนาด 1200 ซีซี ให้กำลังสูงสุดที่ 80 แรงม้า ที่ 6,550 รอบต่อนาที และ ให้แรงบิดสูง 105 นิวตันเมตร ที่ 3,100 รอบต่อนาที ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 566,000 บาท ในขณะที่ “บอนเนวิลล์ ที100 บัด อีคินส์” (Bonneville T100 BUD EKINS) มาพร้อมเครื่องยนต์บอนเนวิลล์สูบคู่ขนาด 900 ซีซี ให้กำลังสูงสุดที่ 55 แรงม้า ที่ 5,900 รอบต่อนาที และแรงบิดสูง 80 นิวตันเมตร ที่ 3,230 รอบต่อนาที ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 449,000 บาท



SUZUKI

ซูซูกิ ได้นำรถจักรยานยนต์ที่เป็นไฮไลท์มาให้ทุกท่านได้ชมอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ในระดับตำนานอย่าง Suzuki Katana, Suzuki GSX1300R Hayabusa, Suzuki GSX-R1000R และ Suzuki GSX-R1000 ต่อมาที่รถจักรยานยนต์สไตล์สตรีทสปอร์ต Suzuki GSX-S1000, Suzuki GSX-S1000F, Suzuki GSX-S750, Suzuki SV650X และ Suzuki SV650 ถัดมาที่รถจักรยานยนต์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยกับทัวร์ริ่งยอดนิยม Suzuki V-Strom 1000, Suzuki V-Strom 650XT และ Suzuki V-Strom 650 นอกจากนี้ทาง ซูซูกิ ยังได้นำรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่พร้อมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นอิสระ อาทิ Suzuki VanVan 200, Suzuki GSX-R150 และ Suzuki GSX-S150 ให้ทุกท่านได้จับจองเป็นเจ้าของได้อย่างง่ายดาย

สำหรับทุกท่านที่พร้อมจับจองเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์สามารถเข้าชมรถจักรยานยนต์ได้ที่บูธจัดแสดงรถจักรยานยนต์ซูซูกิ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสุดแห่งปี สามารถสอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่ ที่ปรึกษาการขาย ซูซูกิ Big Bike คอยแนะนำท่านภายในบูธ อีกทั้งยังมีโซนของ Accessories ได้รวบรวมอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ และ Apparel อาทิ เครื่องแต่งกาย พร้อมผลิตภัณฑ์และของที่ระลึกจากซูซูกิอีกมากมายมาให้ท่านเลือกชมได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้คือความภาคภูมิใจที่ ซูซูกิ นำเสนอและพร้อมพาทุกท่านก้าวไปข้างหน้าอย่างมีระดับ ตอบสนองทุกความต้องการของผู้รักการขับขี่ในทุกไลฟ์สไตล์ แล้วพบกันได้ที่บูธแสดงรถจักรยานยนต์ซูซูกิ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันนี้ – 26 กรกฎาคม 2563



VESPA

Vespa LX ฉลองครบรอบ 10 ปี ในประเทศไทย กับรุ่น “Vespa LX 10th Anni” ให้คุณร่วม Celebrate ไปกับความพิเศษของสีสันที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก LX 
สีเปิดตัวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั้งสีชมพู (Pink Corallo) และ สีฟ้า (Blue Capri) ที่มากับแผ่นเพลทประจำรุ่น พร้อมแล้วที่จะกลับมามอบความสดใสอีกครั้ง ให้คุณเป็นเจ้าของไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยสีสันไม่เหมือนใคร และตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างลงตัว ให้ทุกวันของคุณพิเศษมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคย พิเศษสุดสำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของสกู๊ตเตอร์ “Vespa LX 10th Anni” กับราคา 91,900 บาท พร้อมชุดของพรีเมี่ยมเข้าชุดกับตัวสกู๊ตเตอร์คันนี้เพื่อเพิ่มสีสันในทุกการเดินทางให้มากยิ่งขึ้น ได้แก่ 
1. หมวกกันน็อคสีสันที่เข้ากันกับตัวรถ 2. กระเป๋า 3. พวงกุญแจ 4. โปสการ์ด 5. หน้ากากผ้า และ 6. สเปรย์แอลกอฮอล์เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตรูปแบบ 
NEW NORMAL แฟนๆ และสาวกเวสป้าสามารถเป็นเจ้าของรถสกู๊ตเตอร์เวสป้าคันนี้ได้ง่ายๆ ที่ตัวแทนจำหน่ายเวสป้าทั่วประเทศ

นอกจากการเปิดตัวสกู๊ตเตอร์รุ่นใหม่ผ่านแคมเปญพิเศษ VESPA LIVE FEST เวสป้ายังมาพร้อมโปรโมชั่นและข้อเสนอสุดพิเศษ เพื่อเป็นการเซอไพรส์ให้กับสาวกและแฟนๆ ของเวสป้าได้ร่วมเฉลิมฉลองไปพร้อมกันได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 กรกฎาคม 2563 ด้วย

YAMAHA

ยามาฮ่า พร้อมโชว์ศักยภาพแบรนด์รถจักรยานยนต์ระดับโลก ฉลองครบรอบ 65 ปี ด้วยการเนรมิตบูธ ยามาฮ่าภายใต้แนวคิด “Yamaha Life” ยกทัพรถจักรยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้ายามาฮ่าโชว์แบบเต็มพิกัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยของยามาฮ่าอย่างใกล้ชิด พร้อมเปิดโมเดลใหม่ ALL New Yamaha WR155R, Grand Filano Hybird สีใหม่ พร้อมทั้ง MT-10, MT-07 และ MT-15 สีใหม่ ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2020

ยามาฮ่ามอเตอร์ ครบรอบปีที่ 65 เนรมิตบูธยามาฮ่าบนพื้นที่การจัดแสดงกว่า 1,000 ตร.ม. ภายใต้แนวคิด Yamaha Life ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า เพราะชีวิตมีความหลากหลาย และแตกต่าง เราจึงต้องสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้สอดคล้องและตอบสนองในทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า โดยภายในงานเราได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองผู้ขับขี่ที่หลงใหลรถจักรยานยนต์ในสไตล์ Enduro ด้วย All New Yamaha WR155R ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ Journey of the Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า ซึ่ง All New Yamaha WR155R จะเป็นรถโมเดลใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาเติมเต็มในโปรดักส์ไลน์ของยามาฮ่าในเมืองไทยให้ครบทุกเซ็กเมนท์ พร้อมด้วยราคาเปิดตัวสุดเร้าใจที่ 105,000 บาท พร้อมกันนี้เรายังเปิดตัวรถพรีเมี่ยม ออโตเมติกขนาด 125 ซีซี สีสันใหม่กับ Yamaha Grand Filano Hybrid และเน็คเก็ตจอมพลังจากตระกูล MT-Series อย่าง MT-10, MT-07 และ MT-15 สีใหม่ ภายในงานอีกด้วย โดยภายในบูธแห่งนี้ เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่พร้อมสร้างประสบการณ์ความตื่นเต้น เร้าใจ ให้กับผู้คน ในชีวิตที่เป็นแบบฉบับของตนเอง โดยผนวกกับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของยามาฮ่าในรูปแบบ Series ที่เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงสร้างความมั่นใจด้วยการรับประกันถึง 5 ปี หรือ 50,000 กม. สำหรับรถไม่เกิน 400 ซีซี อีกทั้งในโอกาสครบรอบ 65 ปี เราได้จัดแสดงโซนนิทรรศการที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยามาฮ่าตลอด 65 ปีที่ผ่านมา สำหรับผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในตลาดปัจจุบัน เราได้จัดเตรียมข้อเสนอสุดพิเศษอย่างมากมายภายในงาน Bangkok International Motor Show 2020 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 26 กรกฎาคม 2563 นี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี



ภาพและข้อมูลบางส่วนจาก : bangkok-motorshow.com

Visitors: 1,496,916