ปอร์เช่ มาคันน์ ใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน Thailand International Motor Expo 2018

ปอร์เช่ มาคันน์ ใหม่ (The new Porsche Macan) เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 35 (Thailand International Motor Expo 2018) ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 4.8 ล้านบาท รถยนต์ SUV ขนาดคอมแพคนี้มาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบาย การเชื่อมต่อด้วย ระบบสื่อสารเพื่อการขับขี่ในหลากหลายรูปแบบ อุปกรณ์พื้นฐานที่ได้รับการติดตั้งมากมายเสริมด้วย Macan Premium Package ซึ่งถือเป็นความพิเศษของการฉลองครบรอบ 25 ปี ของปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ซึ่งนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

นอกจากนี้ เอเอเอสฯ ยังเตรียมกิจกรรมพิเศษเพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางดิจิทัลแด่ผู้ชื่นชอบ รถยนต์ปอร์เช่ด้วยโมเดล มิชชั่น อี (Mission E) ขนาด 1:3 ผ่านเทคโนโลยีภาพจำลองเสมือนจริง (Aug-mented Reality) โดยโมเดลดังกล่าวจะพาทุกท่านเข้าสู่โลกของ E-Performance และยลโฉมก่อนการมาถึงของ ไทคานน์ (Taycan) ยนตรกรรมไฟฟ้าแห่งอนาคตเต็มรูปแบบของปอร์เช่ ซึ่งจะมาถึงในต้นปี 2020 นี้ โมเดล มิชชั่น อี (Mission E) ได้ออกเดินทางไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางที่ 2 หลังจากที่เดินทางไปจัดแสดงในกิจกรรม E-Performance Nights ที่ประเทศมาเลเซียและหลังจากนี้ก็จะ เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคต่อไป

มร. ปีเตอร์ โรห์เวอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็น ประเทศเจ้าภาพของการเปิดตัวรถยนต์ ปอร์เช่ มาคันน์ ใหม่ (The new Porsche Macan) เป็นครั้งแรกใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับโฉมใหม่ผสานด้วย Premium Package ที่มาพร้อม ราคาสุดเร้าใจ และในขณะเดียวกัน โมเดล มิชชั่น อี (Mission E) ที่จะอวดโฉมแก่สายตาสาธารณชน เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนการมาถึงของ ไทคานน์ (Taycan) รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรก ของปอร์เช่ ซึ่งเราเล็งเห็นว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมแน่นอน เราพร้อมแล้วที่จะต้อนรับทุกท่านที่บูธ รถยนต์ปอร์เช่ของเรา”

ปอร์เช่ มาคันน์ ใหม่ (The new Macan)
ยนตรกรรมสปอร์ต SUV ขนาดคอมแพครุ่นล่าสุด มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ ขนาดความจุกระบอกสูบ 2.0 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 252 แรงม้า อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 12.3 กิโลเมตรต่อลิตร พร้อมทั้งอุปกรณ์มาตรฐานที่ได้รับการเพิ่มเติมได้แก่ ไฟหน้า LED ระบบความ บันเทิงและการติดต่อสื่อสาร Porsche Communication Management รุ่นล่าสุดพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.9 นิ้ว ระบบเซ็นเซอร์หน้า-หลังพร้อมกล้องช่วยเหลือในการถอยจอด เบาะนั่งแบบ comfort ปรับได้ 14 ทิศทาง ที่สามารถจดจำการตั้งค่าที่นั่งได้ ระบบช่วยเหลือการเปลี่ยนเลนส์หรือเปลี่ยนช่องทางการขับขี่ ระบบปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารแยกระหว่างตำแหน่งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

Macan Premium Package ซึ่งถือเป็นความพิเศษของการฉลองครบรอบ 25 ปีนี้ ประกอบด้วย ระบบเครื่องเสียง BOSE® Surround Sound System ระบบสั่งการด้วยเสียง Apple® CarPlay, ระบบ Ambient Lighting ในห้องโดยสาร, ม่านบังแสงอัตโนมัติ (Mechanical Sunblinds) และ กระจกปรับแสงอัตโนมัติ (Auto Dimming Mirrors) ได้รับการเพิ่มเติมเข้ามาในราคาเริ่มต้นเพียง 4.8 ล้านบาท

ปอร์เช่ คาเยนน์ อี ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid)
ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุด (The new Cayenne E-Hybrid) ยนตรกรรมพรีเมียม SUV แห่งยุคที่ติดตั้ง ขุมพลัง E-performance พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่ล่าสุด ผสมผสานการบังคับควบคุมสไตล์ สปอร์ตให้เป็นหนึ่งเดียวกับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด เครื่องยนต์ V6 ขนาดความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตร (340 แรงม้า/250 กิโลวัตต์) เสริมพลังด้วยระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า (136 แรงม้า/100 กิโลวัตต์) ให้พละกำลังสูง สุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร ด้วยแนวคิดในการพัฒนาแบบเดียวกับปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (Porsche 918 Spyder) อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 29.4 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 78 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ 20.6 กิโลวัตต์ ชั่วโมงต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 6.3 ล้านบาท

ไทคานน์ (Taycan)
ยานยนต์แห่งอนาคตที่ก้าวเข้ามาใกล้อีกขึ้นหนึ่ง สายการผลิตของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกของปอร์เช่จะเริ่มขึ้น
ในปีหน้า มอเตอร์ขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง 2 ตัวแบบ Permanently Excited Synchronous Mo-tors (PSM) เมื่อทำงานร่วมกันสามารถผลิตกำลังสูงสุดได้มากกว่า 600 แรงม้า (440 กิโลวัตต์) ส่งผลให้รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า คันนี้มี อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งถึงความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในระยะเวลาต่ำกว่า 3.5 วินาที และพุ่งทะยานสู่ ความเร็วสูงสุดถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 12 วินาที ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมนี้เกิดขึ้นโดยข้อได้เปรียบ ของการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนที่ต่อเนื่องอันเป็นคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า: การเร่งออกตัว ที่ฉับไวอย่างเหลือเชื่อมีที่มาจากประสิทธิภาพการทำงานของส่วนประกอบซึ่งปราศจากการสูญเสียใดๆ ในระบบ อย่างสิ้นเชิง รถยนต์คันนี้มีความสามารถขับเคลื่อนได้ไกลมากกว่า 500 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC.

Visitors: 1,488,545